อดีตภรรยา "สามารถ พยัคฆ์อรุณ" พูดหมดเปลือกเหตุทำไมต้องฟ้องแบ่งสินสมรส

อดีตภรรยา "สามารถ พยัคฆ์อรุณ" พูดหมดเปลือกเหตุทำไมต้องฟ้องแบ่งสินสมรส

อดีตภรรยา "สามารถ พยัคฆ์อรุณ" พูดหมดเปลือกเหตุทำไมต้องฟ้องแบ่งสินสมรส
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากที่ หญิง-วลัยทิพย์ ภพธีรธรรม อดีตภรรยาคนที่ 2 ที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายของนักมวยรุ่นใหญ่ สามารถ พยัคฆ์อรุณ ได้ส่งหนังสือถึงสื่อมวลชนว่าจะเดินทางมายังศาลจังหวัดมีนบุรีในช่วงเช้าวันนี้ (21 ส.ค.) เพื่อให้ศาลตัดสินเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสและเคลียร์ภาระหนี้สินหลังจากการหย่า

โดย หญิง วลัยทิพย์ พร้อมทนาย นายธงวัช วราสุวรรณ ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนก่อนขึ้นศาลว่า ได้อยู่กินกับ สามารถ พยัคฆ์อรุณ ร่วม 10 ปี แต่เกิดปัญหาและตัดสินใจหย่าในเมื่อปี 2560 ส่วนสาเหตุของการฟ้องร้องแบ่งสินสมรสในครั้งนี้ เพราะอดีตสามีกลับคำในการแบ่งทรัพย์สินและไม่ยอมขายค่ายมวย เพื่อมาใช้หนี้ที่เป็นการกู้ร่วมกัน (กู้สร้างบ้านและค่ายมวย) และมีการท้าทายให้ฟ้องร้องหากอยากได้เงิน

วันนี้มาฟ้องเรื่องอะไร ?

หญิง : "จริงๆ ฟ้องกันตั้งแต่ปี 60 แล้วค่ะ เป็นเรื่องการแบ่งสินสมรสค่ะ วันนี้ก็เป็นวันที่พี่สามารถต้องมาสืบพยานเป็นวันแรกค่ะ"

เหตุผลที่ต้องฟ้องร้องคืออะไร ?

หญิง : "เรื่องภาระหนี้สินที่มีร่วมกันค่ะ เพราะจริงๆ แล้วตอนหย่าก็คล้ายๆ จะตกลงกันรู้เรื่องนะคะ แต่พอหลังจากนั้นไม่นานพี่เขาก็กลับคำ เขาบอกว่าอยากได้อะไรก็ไปฟ้องเอา เรื่องของภาระหนี้สินต้องการยังไงก็ไปฟ้องเอา ก็ไม่มีที่พึ่งค่ะ ขอร้องให้ผู้ใหญ่ไปคุยเจรจาให้ แต่ก็ไม่ได้ผลค่ะ เขายืนยันแบบนี้"

รู้เหตุผลที่เขาไม่รับผิดชอบไหม ?

หญิง : "เขาก็บอกว่าส่วนหนึ่งเขาก็ไม่มีเงินให้ หญิงก็บอกว่าถ้าไม่มีเงินให้ก็น่าจะมาคุยกันนะ แล้วเขาก็บอกว่าไปฟ้องได้เลย เพราะว่าแม่แชมป์ที่เป็นอดีตภรรยาเขาที่มีลูกด้วยกันเตรียมทนายไว้ให้แล้ว แม่แชมป์ไม่ให้เขาเสียเปรียบ เขาพูดแบบนี้ค่ะ"

เราเป็นภรรยาคนที่เท่าไหร่ ?

หญิง : "ไม่ทราบว่าที่เท่าไหร่ แต่ที่จดทะเบียนและแต่งงานกันก็คือคนที่สองค่ะ"

หนี้สินที่มีร่วมกันประมาณเท่าไหร่ ?

หญิง : "เรื่องนี้หญิงไม่แน่ใจนะคะในเรื่องของตัวเลข เพราะยังไม่ได้เช็กล่าสุด แต่ว่าเป็นหนี้สินที่เรากู้มาสร้างบ้านร่วมกันทั้งสองหลัง กู้มาทำค่ายมวยด้วยกัน ซึ่งการกู้นี้ก็เป็นชื่อร่วมกันทุกอย่างตั้งแต่แรกเลย ตั้งแต่เป็นพื้นดินไม่มีอะไรเลย จริงๆ การรับผิดชอบร่วมกันก็คือทำมาหาได้ร่วมกัน แต่ในวันที่เราจะแยกทางเราก็ควรจะได้รับอะไรมั้ย ก็ถามเขาแบบนี้ เขาก็ตอบกลับมาแบบนี้ เรื่องราวก็เลยเป็นแบบนี้ค่ะ"

แสดงว่าจำนวนเงินน่าจะเยอะถึงได้เลือกที่จะฟ้อง ?

หญิง : "ตัวเลขหนี้สินไม่เยอะค่ะ แต่หญิงมองว่าคนเรามันเลิกกันแล้วก็ควรจะเคลียร์กันให้เรียบร้อยทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชื่อร่วมกันในการกู้แบงค์ เพราะในเมื่อเราแยกกันแล้วยังจะมาเป็นหนี้ร่วมกันเหรอ แล้วถ้าเกิดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ชดใช้หนี้ล่ะ มันก็ต้องเดือดร้อนทั้งสองฝ่ายไหม ก็คิดแบบนั้น"

แล้วตั้งแต่เลิกกันมาใครเป็นคนใช้หนี้ ?

หญิง : "หญิงก็ใช้ส่วนที่บ้านหญิงอยู่ เขาก็ใช้ส่วนที่บ้านเขาอยู่ แต่มันก็ยังเป็นชื่อร่วมกันอยู่ดี ก็เลยอยากให้เคลียร์ไปซะทุกอย่าง"

ที่ผ่านมาเราต้องรับผิดชอบอยู่คนเดียวเหรอ ?

หญิง : "ก็ไม่เชิงอย่างนั้นค่ะ แต่ที่ผ่านมาก็ร่วมกันทำมาทุกอย่าง ก็รู้สึกเหนื่อยค่ะ"

แต่ก็มีการชดใช้หนี้ต่างคนต่างใช้แล้วใช่ไหม ?

หญิง : "ตอนนี้ต่างคนต่างใช้ค่ะ"

แสดงว่ากังวลว่าถ้าเขาไม่ชดใช้ จะกลายเป็นภาระเราคนเดียวใช่ไหม ?

ทนาย : "จริงๆ เมื่อหย่ากันแล้วตามข้อตกลงตอนแรกเลยสามารถที่จะตกลงแบ่งกันได้ แต่เนื่องจากพอหย่ากันแล้วเขาไม่ทำตามข้อตกลง เราก็เลยจำเป็นต้องฟ้อง ฟ้องเพื่อให้แบ่งตามสิทธิเท่านั้นเอง ส่วนเงื่อนไขจะเป็นยังไง เมื่อมีการฟ้องร้องกันแล้วก็ขอให้คุยกันในคดี และอีกอย่างหลังจากที่มีการฟ้องคดีนี้แล้ว"

"คุณสามารถเขาได้ฟ้องอีกคดีหนึ่งเป็นลักษณะหนี้ตัวเดียวกันเลย ซึ่งเป็นทรัพย์สินนอกสมรส เป็นของคุณแม่คุณวลัยทิพย์เขา ซึ่งตัวนั้นเรามองไปว่ามันเป็นลักษณะฟ้องซ้อนกับคดีที่คุณวลัยทิพย์เป็นโจทก์ ซึ่งวันนี้ศาลก็กำหนดนัดทั้งสองคดี เราก็ต้องดูอีกทีว่าท่านจะมีแนวโน้มในการคุยหรือว่าจะให้ดำเนินการสืบพยานไปเลย ก็ต้องดูวันนี้ครับ ส่วนรูปคดีผมคงไม่อยากก้าวล่วงครับ"

หญิง วลัยทิพย์ อดีตภรรยา สามารถ พยัคฆ์อรุณและทนาย

ที่ว่าคดีมีลักษณะฟ้องซ้อนมันเป็นยังไง ?

ทนาย : "ลักษณะฟ้องซ้อนก็คือทรัพย์สินตัวเดียวกัน ก็เป็นทรัพย์สินที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งในที่ดินแปลงนั้นทางคุณสามารถได้มีการฟ้องแย้งในคดีที่คุณวลัยทิยพ์ฟ้องเป็นโจทก์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคดีที่สองที่เขาฟ้องมาก็คือเรื่องเดียวกันกับในคดีแรกที่เขาฟ้องแย้งมาครับ"

คือเราฟ้องให้มีการใช้หนี้แยกกันให้ชัดเจน แล้วคุณสามารถก็มาฟ้องซ้อนเหรอ ?

ทนาย : "คือเป็นลักษณะที่ว่าเราบังคับให้แบ่งสินสมรส ตัวที่เป็นหนี้ที่กู้ยืมมาด้วยกันโดยใช้หลักประกันของที่ดินทั้งหมดก็ต้องชำระให้หมด ส่วนที่เหลือก็แบ่งเป็นสินสมรสแค่นั้นเอง แต่มันมีที่ดินแปลงหนึ่งที่พูดถึงคือที่ขอนแก่น อันนั้นเป็นที่ดินส่วนตัว และปัจจุบันก็เป็นชื่อของคุณแม่คุณวลัยทิพย์ แต่เขาอ้างว่าเป็นสินสมรสอยู่ 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวนั้นก็ต้องไปพิสูจน์กันที่ศาล"

แนวทางการสู้คดีฝั่งเราเป็นยังไง ?

ทนาย : "ต้องดูแนวโน้มของศาลวันนี้ว่าศาลจะไกล่เกลี่ยอีกรอบไหม เพราะก่อนหน้านั้นคุณสามารถท่านไม่ได้มา ฉะนั้นก็ต้องดูอีกรอบว่าจะยังไง"

ที่ผ่านมาเราได้มีการต่อรองกับเขายังไงบ้าง ?

หญิง : "ต่อรองทั้งโดยตรง ทั้งทางอ้อมค่ะ การฟ้องนี่ก็ไม่ใช่ว่าต้องการจะมีเรื่องอะไรขนาดนั้น ก็คิดว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็อยากจะมีตัวกลาง เพราะว่าผู้ใหญ่ที่เรารู้จักก็คุยกับเขาหลายคนแล้ว เขาก็ยังยืนกรานอยู่แบบนั้น เราก็เลยคิดว่าไม่มีที่พึ่ง ก็มาพึ่งบารมีศาล ทีนี้พอพึ่งบารมีก็อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าศาลครอบครัวหรือเยาวชนท่านก็จะพยายามให้คุยกัน ให้ไกล่เกลี่ยกัน ไม่อยากให้เป็นเรื่องให้เป็นประเด็น ทีนี้ทุกครั้งที่ท่านเชิญให้มาไกล่เกลี่ยเขาก็ไม่เคยมาสักครั้ง ส่งแต่ทนายมา แล้วเราก็บอกว่าเราต้องการแค่นี้ แบ่งกันแบบนี้ดีมั้ย ทนายเขาก็ยืนกรานมาเลยค่ะว่าพี่สามารถบอกว่าให้อะไรไม่ได้นอกจากเงินล้านเดียว แล้วก็ให้ไปแต่ตัว มันก็เลยยาวมาถึงทุกวันนี้ค่ะ"

ทางเราเรียกร้องไปแค่ไหน ?

หญิง : "ที่หญิงฟ้องก็บ้านมีอยู่แล้วสองหลัง ก็คนละหลัง แล้วถ้าเกิดไม่มีเงินที่จะแบ่งปันกันก็น่าจะเอาอะไรที่มีอยู่ขายใช้หนี้ที่มีร่วมกันแล้วมาแบ่งกันดีไหม ก็ขอไปอย่างนี้เองค่ะตามสิทธิ ไม่ได้เรียกร้องอะไรที่มากกว่านี้ค่ะ แต่เขาบอกว่าได้แค่ล้านเดียวค่ะ แล้วบ้านที่เป็นชื่อหญิง ที่หญิงอยู่เขาก็จะเอาไว้ เขาจะเอาไว้ทุกอย่าง แต่ให้ล้านเดียว แล้วให้หญิงออกไป ตรงนี้ไม่มีใครรู้สึกว่ามันแฟร์หรอกค่ะ เพราะเราสร้างมาด้วยกันจริงๆ ค่ะ ตั้งแต่ที่ 2 ไร่ที่สายไหมเป็นพื้นดิน ลงเสาเอก เสาโทเราก็ทำกันเอง พี่สามารถกับหญิงก็ทำกันเอง ไม่ได้ไปจ้างพราหมณ์อะไรมาทำเลย ทำด้วยกันทุกอย่าง ไม่มีตังค์ทำบ้านก็ไปกู้แบงค์ร่วมกัน เป็นชื่อคู่กัน อยากทำค่ายก็กู้มาร่วมกันทุกสิ่งทุกอย่างค่ะ”

ความรักพอมันเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกยังไง ?

หญิง : "มันต้องเสียใจอยู่แล้วค่ะ แต่ว่าหญิงข้ามจุดนั้นมาแล้ว หญิงอยากให้พี่สามารถเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปฟังใครมาก ตอนเรารักกัน เราก็รักกันมา 10 ปี วันที่อยากได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มา แต่วันที่จากลามาทำแบบนี้มันไม่ใช่ค่ะ มันต้องคุยกัน"

แสดงว่ามีบุคคลที่สามเข้ามาทำให้เขาเปลี่ยนไป ?

หญิง : "เขาบอกชัดเจนอยู่แล้วว่ามีคนหาทนายไว้ให้เขาแล้ว หญิงมีคลิปเสียงด้วยค่ะ"

เรื่องค่ายมวยที่บอกจะขาย แต่เขาเปลี่ยนใจ ตรงนี้เราก็มีหลักฐานใช่ไหม ?

หญิง : "มีค่ะ แต่จริงๆ หญิงไม่ต้องการให้ขายอะไรหรอกค่ะถ้าเกิดเราตกลงกันได้ ถ้าพี่สามารถหามา พี่สามารถอยากทำคนเดียว พี่ก็เก็บไว้เลย หญิงค่อนข้างแฟร์ๆ แมนๆ อยู่แล้วค่ะ แต่ในเมื่อพี่สามารถบอกว่าไม่มีจะให้ ไม่รู้จะให้อะไร ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่สร้างร่วมกันมาก็เอาไปทำอะไรเพื่อให้ได้เงินมา แล้วชำระหนี้ แล้วแบ่งกันดีไหม ก็แค่นั้นเองค่ะ"

ปัญหาเดียวที่เราอยากได้คือชำระหนี้ให้เรียบร้อยใช่ไหม ?

หญิง : "ชำระหนี้ด้วย และสิ่งที่เราร่วมทำกันมา เสียเวลาอยู่ด้วยกันมา โอกาสที่เราเสียไปพี่สามารถเป็นลูกผู้ชาย พี่สามารถก็น่าจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร"

ฝั่งนั้นเขามีปัญหาเรื่องการเงินด้วยหรือเปล่า ?

หญิง : "ไม่ทราบเลยค่ะ ตั้งแต่แยกกันมาก็ไม่ได้คุยกันเลย หญิงพยายามโทรไปเขาก็ไม่รับสาย"

คือไม่ได้คุยกันมา 2 ปีแล้วตั้งแต่เลิกใช่ไหม ?

หญิง : "ใช่ค่ะ ไม่ได้คุยกันเลย บ้านก็อยู่รั้วเดียวกันนะคะ ในพื้นที่ 1 ไร่ แต่โฉนดแบ่งแยกกัน ก็ไม่ค่อยได้เจอ เพราะหญิงทำงานต่างจังหวัด ถึงเจอพี่สามารถก็หลบค่ะ เคยโทรมาก็ไม่รับ โทรไปเบอร์ของเด็กๆ ในค่ายเขาก็บอกว่าพี่สามารถไม่คุย"

แต่วันนี้ต้องเจอกันในศาล เตรียมตัวจะคุยอะไรกับเขายังไงบ้าง ?

หญิง : "ก็มีหลายอย่างนะคะ"

คิดว่าจะจบในทางที่ดีไหม ?

หญิง : "ตอนนี้ไม่สามารถจะคิดแทนพี่เขาได้แล้ว เพราะพี่เขาเปลี่ยนไปเยอะ กาลเวลามันเปลี่ยน สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลงมันไม่มีอยู่จริงหรอกค่ะ เขาเปลี่ยนไปแล้ว"

ตัวเราคาดเดาว่าจะต้องจบยังไง ?

หญิง : "อย่าพูดว่าคาดเดาเลยค่ะ เรียกว่าภาวนาให้มันจบสวยๆ แล้วกันค่ะ"

เรามั่นใจว่าจะชนะคดีไหม ?

หญิง : "ก็มั่นใจในคุณธงวัช ทนายความค่ะ"

ทนายเองก็มั่นใจในหลักฐานที่มีใช่ไหม ?

ทนาย : "ใช่ครับ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเอกสารสิทธิ ซึ่งโดยตัวแรกเลยจะเป็นที่ดินที่มีการจดทะเบียนอยู่แล้ว ฉะนั้นพยานหลักฐานเราค่อนข้างที่จะมั่นใจ แต่เราก็ไม่ตัดสิทธิในเรื่องของการเจรจาเพื่อที่จะหาข้อยุติ"

หญิง : "คือทนายของเราเขาไม่ได้วางหมากซะทุกอย่าง เขาปรึกษาหารือและมีความเมตตา เพราะในเรื่องของคดีครอบครัวมันต้องมีความเมตตา มันต้องได้เจรจากันอย่างนี้ค่ะ ทนายของเราเป็นแบบนี้ พูดคุยกันค่ะ"

นัดหน้าอีกทีเมื่อไหร่ ?

ทนาย : "มันจะมีวันที่ 21-23 สิงหาคม แล้วก็วันที่ 28 สิงหาคมวันสุดท้าย ก็ต้องดูนัดวันนี้ เพราะดูแนวโน้มของศาลแล้วค่อนข้างที่จะอยากให้เจรจามากกว่า วันนี้ก็เป็นสืบพยานนัดแรก"

>>เปิดใจอดีตภรรยา "สามารถ พยัคฆ์อรุณ" ยื่นฟ้องแบ่งสินสมรส

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ ของ อดีตภรรยา "สามารถ พยัคฆ์อรุณ" พูดหมดเปลือกเหตุทำไมต้องฟ้องแบ่งสินสมรส

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook