เล่นคลื่น
แบงก์ชาติออกมายืนยันแล้วว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 นั้นแม้จะยังติดลบอยู่แต่ก็มีแนวโน้มดีขึ้น
วัดได้จากดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ขยับตัวเป็นบวก ดูได้จากคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น
ตัวเลขแท้จริงของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะติดลบเท่าไหร่ยังเป็นเรื่องที่ต้องรอการประมวลผลจากหน่วยงานรัฐ แต่ถ้าประเมินจากความรู้สึกที่ได้สัมผัสผ่านวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนแล้ว แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยก็น่าจะเป็นไปเช่นนั้น
คือในภาพรวมแม้จะยังคงย่ำแย่อยู่ แต่ก็มีหลายส่วนภาคที่เริ่มกระเตื้องขึ้นบ้าง
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ตัวเลขติดลบ 7.1 ของไตรมาสแรกก็น่าจะเป็นจุดต่ำสุดสำหรับเศรษฐกิจไทย นับแต่นี้ไปมีแต่จะติดลบน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพลิกกลับเป็นบวกในที่สุด
สำหรับผู้ประกอบการน้อยใหญ่คงต้องคิดซับซ้อนมากขึ้น ด้านหนึ่งเป็นเรื่องที่ว่าจะประคองตัวให้รอดได้อย่างไรในยามที่เศรษฐกิจของประเทศยังคงตกต่ำอยู่ ขณะอีกด้านหนึ่งก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทะยานไปกับเศรษฐกิจประเทศในช่วงที่กำลังเริ่มไต่ขึ้น
เรื่องแรกเป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ ขณะเรื่องหลังเป็นกิเลสที่เกิดจากความรู้สึกไม่อยากพลาดโอกาส
เมื่อไม่นานนี้แบงก์ชาติเคยแถลงผลงานวิจัยในเรื่องแรงอึดของภาคธุรกิจไทยมาแล้วว่าน่าจะทนสู้กับวิกฤตที่ถาโถมได้นานพอสมควรเพราะเคยมีบทเรียนมาแล้วจากปี 2540 ที่ฟองสบู่แตกก็เลยทำให้เตรียมตัวกันมาดี ใครพื้นฐานแข็งแกร่งหน่อยอาจจะอึดได้นานถึง 2-3 ปีเลยทีเดียว
ถ้าวิกฤตเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อไตรมาสแรกจริง และถ้าภาคธุรกิจของไทยมีแรงอึดสามารถยืนสู้ศึกได้นานระดับนั้นจริง นั่นหมายความว่านับแต่นี้ไปเศรษฐกิจไทยก็จะมีแต่กระเตื้องขึ้นตามลำดับ
ครั้งปี 2540 ที่ฟองสบู่แตกมีนักธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่แปลงวิกฤตให้เป็นโอกาสจนประสบความสำเร็จมาจวบถึงปัจจุบัน ส่วนกลางปี 2552 ที่ประเมินกันว่าน่าจะเป็นหลักหมุดใหม่ของเศรษฐกิจไทยที่ได้เวลาเริ่มทะยานกลับคืนเสียทีนั้นยังไม่รู้จะมีนักธุรกิจคนใดที่สามารถเกาะกระแสความสำเร็จได้อีก แต่รับรองมีแน่และน่าจะเยอะด้วย
ที่คิดว่าเยอะนั้นเป็นเพราะบทเรียนเมื่อปี 2540 สอนให้ทุกคนต้องพร้อมที่จะทะยานขึ้นไปกับยอดคลื่นแห่งความสำเร็จอย่างไม่ยอมพลาดโอกาส
และคลื่นลูกนั้นก็ได้เคลื่อนมาถึงแล้ว ณ วันนี้
