หมอยงคาดหวัดมรณะคร่า1,200ชีวิตใน2ปี หนุ่มใหญ่กรุงเก่าดับ รอผลชันสูตรยืนยันเป็นรายที่16

หมอยงคาดหวัดมรณะคร่า1,200ชีวิตใน2ปี หนุ่มใหญ่กรุงเก่าดับ รอผลชันสูตรยืนยันเป็นรายที่16

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
อาจารย์แพทย์จุฬาฯคาดหวัดมรณะส่อคร่าคนไทย 1,200 คน ใน 2 ปี คุมเข้มดีอาจไม่เกิน 600 คน จี้สธ.ตีปี๊บสวมหน้ากากรับผิดชอบต่อสังคม ด้านรมว.สธ.เผยองค์การอนามัยโลกให้โควต้าวัคซีน 2 ล้านโดส ขณะที่หนุ่มใหญ่อยุธยาเสียชีวิต รอผลชันสูตรยืนยันเป็นรายที่ 16 หรือไม่ คาดเหยื่อหวัด 09 ดับอีก หนุ่มกรุงเก่า สธ.รอผลชันสูตรยัน นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า กระทรวงได้รับแจ้งมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 45 ปี อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีอาการไข้ก่อนมาโรงพยาบาล 4 วัน เข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2552 ด้วยอาการหอบเหนื่อย ไข้สูง แพทย์ตรวจพบภาวะปอดอักเสบ ไตวาย หัวใจโต ความดันโลหิตสูง ติดโรคฉี่หนู และยังตรวจพบว่ามีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เสียชีวิตลงในวันนี้ ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา

นพ.ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะความผิดปกติหลายระบบ เช่น โรคฉี่หนู ซึ่งทำให้ปอดอักเสบได้เหมือนกับไข้หวัดใหญ่ จึงจำเป็นต้องทำการตรวจชันสูตรอย่างละเอียด เมื่อทราบพยาธิสภาพ จึงจะทราบสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ทำให้การยืนยันผู้เสียชีวิตยังเท่าเดิมคือ 15 รายเท่าเดิม โดยจะยังไม่นับรวมผู้เสียชีวิตที่ จ.อยุธยา จนกว่าจะได้รับผลการชันสูตรที่ชัดเจน

นพ.ไพจิตร์ กล่าวอีกว่า ผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หากมีไข้ 2 วัน ไข้สูง อาการไม่ดีขึ้น ให้รีบมาพบแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ หอบหืด ปอดบวม ความดันโลหิตสูง โรคไต หัวใจ ขอให้รีบมาพบแพทย์ตั้งแต่มีไข้สูงในวันแรก และแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบด้วย

ถ้าผลการชันสูตรยืนวันว่าชายวัย 45 ปีเสียชีวิตจากหวัดใหญ่ 2009 จะทำให้คนไทยเสียชีวิตเป็นรายที่ 16

หมอยงคาดหวัดมรณะคร่า 1,200ชีวิตใน 2 ปี จี้สธ.ตีปี๊บสวมหน้ากาก

ที่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเวลา 09.30 น. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ารับฟังการบรรยายของบุคคลากรด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดไข้หวัดสายพันธ์ใหม่ 2009 พร้อมแนวทางการป้องกัน โดยมีผู้เข้าร่วมอาทิ นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตนีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ยง ภู่วรวรรณ อาจารย์ประจำคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อไวรัส องค์การอนามัยโลก นพ.พิทยา จารุพูนผล คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พญ.จริยา แสงสัจจา รองผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร พญ.มาลิณี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯกทม. และส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่ง

ภายหลังการหารือนานกว่า 3 ชั่วโมง 30 นาที นายชวนกล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขต้องดำเนินการต่อคือการพูดความจริงและให้ความรู้กับประชาชน รวมทั้งการคำแนะนำที่ถูกต้อง อย่าเบื่อหน่ายกับการให้ความรู้กับประชาชน เพราะทุกคนมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคนี้ คนที่สงสัยว่าเป็นหรือเป็นน้อยก็ไม่จำเป็นต้องมาตรวจร่างกายกันทุกคน แต่ถ้าเป็นมากๆ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องมาตรวจ อย่างที่ได้รับรายงานก็ทราบว่าต่างประเทศก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมาตามฤดูกาล ดังนั้นการให้ความจริงไม่ปกปิด และให้คำแนะนำและความรู้เหมือนเป็นภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน นอกจากนี้อยากให้ประชาชนเชื่อมั่นประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับด้านสาธารณสุข และมีผู้เชี่ยวชาญที่มีศักยภาพจำนวนมาก จึงเชื่อว่าในอนาคตจะสกัดกั้นได้

ด้านนพ.ยง แถลงว่า ได้เข้ามารายงานสถานการณ์ไข้หวัด 2009 แต่ยอมรับว่าทั่วโลกได้มีการระบาดมากกว่า 120 ประเทศ และมีผู้ป่วยจำนวนนับแสน ซึ่งไม่แปลกที่จะมีการระบาดในประเทศไทย โรคนี้ไม่สามารถหยุดยั้งได้ภายใน 1-3 เดือน แต่มีแนวโน้มระบาด 1-3 ปี และจำนวนผู้ป่วยจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามาดูความรุนแรงก็จะพบว่ามีหลายระดับ คือตั้งแต่ไม่มีอาการไปจนถึงเสียชีวิต ซึ่งทุกคนสามารถเป็นได้ทั้งนั้น โดยคนที่เสียชีวิตไปแล้วอยู่ในกลุ่มเสี่ยงคือคนที่เป็นโรคปอด หัวใจ หอบหืด ผู้สูงอายุและเด็ก อย่างไรก็ตามหากมีคนติดเชื้อ 1 คน จะสามารถแพร่กระจายโรคไปได้ 1.5-2 คน แต่หากป้องกันดี ๆ จะลดอัตรการแพร่กระจายลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง ซึ่งฟังดูแล้วอาจจะน่าตกใจ เพราะ จากการประมาณการพบว่าใน 1-2 ปีนี้จะมีผู้เสียชีวิตในประเทศไทยถึง 1,200 คน ซึ่งถ้ามีมาตรการที่เข้มข้นดูแลอย่างเต็มที่สามารถลดอัตราการตายได้ถึงครึ่งหนึ่ง คือไม่น่าจะเกิน 600 คน

"ไม่อยากให้คนไทยตื่นตระหนก อยากฝากว่าใครที่มีอาการไม่จำเป็นต้องมาตรวจทุกราย เพราะกระบวนการรักษายังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่จะทำให้เมื่อมีคนมาตรวจจำนวนมาก ภาระจะล้นมือ และบุคคลากรแทนที่จะไปทุ่มอยู่กับคนที่มีภาวะเสี่ยงกลับต้องมาต้องดูแลทุกคน นพ.ยง กล่าว

ด้านนายวิทยา กล่าวว่า แนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการอยู่คือ 1. จะให้ความรู้และแนวทางป้องกันสุขภาพกับประชาชนตามข้อเท็จจริง 2.ปรับปรุงระบบผู้เชื่อมต่อระหว่างโรงพยาบาลภาคเอกชนให้เข้าสู่ระบบ เพื่อติดตามตัวเลขผู้ป่วยที่แท้จริง ซึ่งเบื้องต้นจะให้รายงานตัวเลขผู้ป่วยในระยะแรกเท่านั้น เพราะมีผลกระทบต่อจิตใจของประชาชน 3. ใช้มาตรการดูแลกลุ่มผู้ป่วยเสี่ยงอย่างเข้มงวด โดยเบื้องต้นได้หารือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สป.สช.) เพื่อให้ประสานไปยังกลุ่มผู้เสี่ยงจำนวน 2 ล้าน ว่าหากพบว่ามีอาการป่วยให้ประสานกับกระทรวงสาธารณสุขทันที โดยต้องแจ้งไปยังกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวห้แล้วเสร็จใน 2 สัปดาห์ 4. รณรงค์ให้ประชาชนทั่วไป และโรงพยาบาลทุกแห่งให้สวมหน้ากากอนามัย โดยให้เห็นว่าการสวมหน้ากากเป็นเรื่องปกติและเปนการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะเริ่มต้นที่โรงพยาบาลก่อน

"กระทรวงสาธารณสุขได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก ในการผลิตวัคซีน ซึ่งเชื้อที่จะนำมาผลิตเป็นวัคซีนมาจากประเทศรัสเซีย โดยในวันที่ 12 ก.ค.นายกฯจะเดินทางไปเปิดโรงงานผลิตและวิจัยวัคซีนป้องกันหวัดสายพันธ์ใหม่ ที่มหาวิทยาลัยศิลปกร วิทยาเขตนครปฐม ส่วนการสั่งจองวัคซีนไทยได้สั่งจององค์การอนามัยโลก โดยเราได้โควต้า 2 ล้านโดส คาดว่าจะมาถึงไทยในเดือนต.ค.นี้ นายวิทยา กล่าว

เมื่อถามว่า ขณะนี้ฝ่ายค้านโจมตีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่าไม่มีผลงาน จะชี้แจงอย่างไร นายวิทยา กล่าวว่า ต้องขอดูข้อมูลจากฝ่ายค้านก่อน ส่วนเรื่องการปรับครม.ตนไม่สามารถตอบได้ และการประเมินผลงานของตัวเองก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถือเป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านจะต้องตอบเอง

ขณะที่นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอให้รัฐบาลประกาศให้การแก้ปัญหานี้เป็นวาระแห่งชาติว่า รัฐบาลได้ประกาศเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติไปแล้วตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากพบผู้ป่วยคนแรกในประเทศไทย

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวสรุปการหารือว่า ที่ประชุมได้หารือใน 4 ประเด็น คือ 1. แนวทงการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขเป็นไปตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก 2. ที่ประชุมได้กล่าวชื่นชมกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ให้ข้อมูลแก่ประชาชนโดยไม่ปิดบังเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา 3. ชื่นชมการเปิดให้ประชาชนเข้าถึงยาทามิฟูล อย่างไร้ปัญหา และ 4. ที่ประชุมได้มีการเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน อสม.ทั่วประเทศ ให้รณรงค์และยับยั้งการแพร่ระบาด โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาฯ ที่มีกลุ่มเด็กตั้งแต่อายุ 11-21 ปี จะเป็นไข้หวัดกันมาก ถ้าเข้าร่วมรณรงค์กันได้ก็จะหยุดการแพร่ระบาดได้ระดับหนึ่ง ขณะที่กระทรวงแรงงานจะต้องประสานไปยังสถานประกอบการต่างๆ ให้รณรงค์ให้ทุกคนตื่นตัว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook