''ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ'' เปิดแนวรบ''บล.คันทรี่ กรุ๊ป''

''ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ'' เปิดแนวรบ''บล.คันทรี่ กรุ๊ป''

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
การปรับโครงสร้างบริหารภายในครั้งใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS สร้างความฮือฮาให้เกิดขึ้นกับวงการธุรกิจหลักทรัพย์ เพราะก้าวใหม่ของคันทรี่ กรุ๊ปครั้งนี้ ได้มนุษย์ทองคำแห่งวงการโบรกเกอร์หุ้น ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ มากุมทัพ หลังลาออกจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บล.บีฟิทฯ มานั่งตำแหน่งเดียวกันที่ บล.คันทรี่ กรุ๊ปฯ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ดร.ประสิทธิ์ ไม่ได้มามือเปล่า แต่มีทีมงานตามมาด้วย 70 ชีวิต ในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่การตลาดถึง 50 คน พร้อมด้วยลูกค้าเล่นหุ้นอีก 6,000 บัญชี เป็นบัญชีที่ซื้อขายสม่ำเสมอ หรือแอกทีฟ เฉลี่ย 25% หรือ 1,500 บัญชี และแน่นอนมีนักลงทุนกระเป๋าหนักด้วยหลายคน

ภารกิจหลักที่จะต้องสานต่อคือ การขยายฐานลูกค้าที่เป็นนักลงทุนรายย่อย เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายย่อยอันดับ 1 ของประเทศ

นั่นคือ ประโยคท้าทายที่มนุษย์ทองคำและซีอีโอ ค่าตัวแพงที่สุดติด 1 ใน 10 ของประเทศ กล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา

นอกจากนี้น้ำเสียงของเขายังย้ำชัดถึงความมั่นใจว่าทำได้ พร้อมฉายวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ รวมถึงเป้าหมายการเตรียมความพร้อมรับมือการแข่งขันที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง หลังเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ (เปิดเสรีเต็มรูปแบบปี 2555)

ดร.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ปีนี้บล.คันทรี่ กรุ๊ปฯ ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดซื้อขายหลักทรัพย์เป็น 7% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.5% ขยับขึ้นรั้งอันดับ 1 ใน 3 ผู้นำธุรกิจโบรกเกอร์ จากอันดับ 10 ณ เวลานี้ และถือเป็นการกลับมามีกำไรอีกครั้ง หลังช่วง 2-3 ปีก่อนที่ติดตัวแดง

มั่นใจว่า จากทีมงานที่มีศักยภาพ และระบบการจัดการที่ทันสมัย ประกอบกับสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงการบริหารต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้บล.คันทรี่ กรุ๊ปฯ บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้

ดร.ประสิทธิ์ เปิดอีกกลยุทธ์ ที่บล.คันทรี่ กรุ๊ปฯ วางไว้คือ การเดินหน้าเป็นผู้แนะนำด้านการลงทุน และให้คำปรึกษาทางการเงินสำหรับผู้ลงทุนรายย่อยเป็นสำคัญ ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าทั้งสิ้น 40,000 บัญชี ในจำนวนนี้มีผู้ลงทุนรายย่อย 85 %มีบัญชีแอกทีฟเฉลี่ย 17,000 ราย ซึ่งถือว่าครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ ณ เวลานี้ ขณะที่จะเพิ่มเจ้าหน้าที่การตลาดเฉลี่ย 50% ของจำนวนเจ้าหน้าที่เดิมที่มีอยู่ 300 คน โดยส่วนหนึ่งจะเป็นทีมงานที่ย้ายมาจากบล.บีฟิทฯ

ส่วนกลยุทธ์สำคัญ ปี 2552 คือ ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 40 สาขา เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากปัจจุบันมีจำนวน 34 สาขา โดยจะคงไว้เฉพาะสาขาที่สร้างกำไร ในขณะที่บางส่วนจะควบรวมเข้าด้วยกัน เพื่อประหยัดต้นทุน และก่อให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ดังจะเห็นได้จากสาขาในจังหวัดเชียงใหม่

นอกจากนี้มุ่งขยายผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ เพื่อให้ครบวงจร และครอบคลุมความต้องการหลากหลายรูปแบบของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสินค้าอนุพันธ์ (TFEX) โดยเฉพาะสินค้า SET50 Futures การขยายธุรกิจการยืม และให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) การบริหารกองทุนส่วนบุคคล รวมถึงพัฒนาระบบซื้อขายแบบออนไลน์ ที่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน

ซีอีโอคนใหม่บล.คันทรี่ กรุ๊ปฯ กล่าวว่า แผนงานที่วางไว้ทั้งหมดก็เพื่อรับมือการเปิดเสรีในอนาคต ทำให้บริษัทจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมด้านระบบต่างๆ รวมถึงการนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย และมุ่งเน้นการลดต้นทุนไปพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้บริการลูกค้าได้มากขึ้น และรวดเร็วทันใจ ภายใต้กลยุทธ์ Private Broke Management

ไม่แค่นั้น ยังมีเป้าหมายรุกตลาดต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ติดต่อซื้อกิจการบริษัทหลักทรัพย์ 2 แห่งในฮ่องกง และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) 1 แห่งในสิงคโปร์ ภายใต้ราคาซื้อขาย 100-300 ล้านบาทต่อบริษัท ซึ่งการซื้อธุรกิจต่างประเทศ จะส่งผลดีด้านสัดส่วนลูกค้าสถาบัน ขณะที่การเจรจาซื้อบลจ.ในสิงคโปร์จะสิ้นสุดลงในช่วง 2 เดือนนับจากนี้ และการเจรจากับบล.ในฮ่องกงจะสิ้นสุด และเห็นผลเป็นรูปธรรมช่วงปลายปีนี้

นั่นคือ แผนธุรกิจของบล.คันทรี่ กรุ๊ปฯ ภายใต้การกุมบังเหียนของดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ในฐานะมือปืนรับจ้าง ที่คลุกคลีในวงการโบรกเกอร์หุ้นมานานกว่า 20 ปี และบี เตชะอุบล นักบริหารรุ่นใหม่ไฟแรง และในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่

ส่วนเขาทั้งสอง จะนำพาโบรกเกอร์เก่าแก่แห่งนี้(เดิมคือ บล.แอ๊ดคินซันฯ)บรรลุเป้าหมายหรือไม่ น่าติดตามยิ่ง เพราะแผนที่ฉายมาช่างหวือหวาซะเหลือเกิน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับบล.บีฟิทฯ ที่วันนี้ระส่ำหลังวงแตก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook