ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ฟ้องรัฐบาล หลังโดนข้อหาก่อการร้าย
ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 เป็นรองนายกรัฐมนตรี และจำเลยที่ 3 เป็น ผบ.ตร. มีอำนาจดูแลควบคุมและกำกับการปฎิบัติงานของข้าราชการตำรวจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และ พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 3 ได้บังอาจร่วมกันทำผิดต่อกฎหมายอาญา โดยจำเลยทั้ง 3 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสอบสวน ลงนามออกหมายเรียกผู้ต้องหาฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 โดยกล่าวหาโจทก์ว่า ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่การกระทำในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ , มั่วสุมกันแต่งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง เมืจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก, ก่อการร้าย. บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์, ทำให้การบริหารท่าอากาศยานหยุดชะงักลง ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม ม.9 แห่ง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งที่ข้อกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริงตามที่จำเลยทั้ง 3 ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหากับโจทก์
ความจริงแล้วตามวันเวลาที่ พล.ต.ท.วุฒิ หัวหน้าพนักงานสอบสวน กล่าวหาโจทก์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 เป็นต้น มีประชาชนจำนวนมหาศาลรวมตัวกันใช้ชื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใช้สิทธิตามรัฐธรรม พ.ศ.2550 ม.69 71 โดยชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีขณะนั้น แก้ไขปัญหาบ้านเมืองในเรื่องต่างๆ อาทิ การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งขณะนั้นมีกลุ่มบุคคลก้าวล่วง แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉย ต่อมานายสมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนต่อมา ไม่แก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนเขาพระวิหารกับประเทศกัมพูชา และสั่งให้มีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กลุ่มพันธมิตรฯเพิ่มมาตรการเรียกร้องโดยการเข้าไปชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งใช้เป็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชั่วคราวแทนทำเนียบรัฐบาล และที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อกดดันให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาตามที่เรียกร้อง
โดยในระหว่างการชุมนุมเจ้าหน้าที่ำรวจได้ตั้งข้อหาโจทก์กับแกนนำกลุ่มพันธมิตรกระทำผิดฐานเป็นกบฏและขอให้ศาลออกหมายจับ ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมโจทก์และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ต่อมาศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าโจทก์กับพวกไม่ได้กระทำผิดข้อหากบฏตามที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้ง 3 ที่สั่งให้พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาเกินความจริงต่อโจทก์ จึงเป็นการปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งโดยมิชอบเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ต้องรับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น และเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้โจทก์ต้องถูกออกหมายเรียกและตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและกระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพ เสื่อมเสียชื่อเสียง เหตุเกิดที่แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพ ขอให้ศาลมีคำสั่งออกหมายเรียกจำเลยทั้ง 3 มาแก้ต่างคดีและพิพากษาลงโทษตามความผิดด้วย
ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์วันที่ 24 สิงหาคม นี้ เวลา 13.30 น.