ข่าวภาค 07.00 น.ประจำวันอังคารที่ 14 กรกฎาคม 2552

ข่าวภาค 07.00 น.ประจำวันอังคารที่ 14 กรกฎาคม 2552

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง วงเงิน 30,000 ล้านบาท วันแรกประสบผลสำเร็จเกินเป้าหมาย โดยรัฐบาลเตรียมพิจารณาเปิดจำหน่ายพันธบัตรรอบที่ 2 หากประเมินแล้วพบว่ามีประชาชนที่ไม่สามารถจองซื้อได้เป็นจำนวนมาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเปิดจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง เมื่อวานนี้เป็นวันแรกจำนวน 3 หมื่นล้านบาท ให้กับผู้สูงอายุ และสามารถจำหน่ายได้หมดภายในเวลา 2 ชั่วโมง ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (14 ก.ค.) จะมีการหารือว่าจะมีการปรับแผนการจำหน่ายใหม่หรือไม่ เพราะในอดีตไม่เคยมีความต้องการมากถึงขนาดนี้ และเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลได้ทำอย่างถูกต้อง ซึ่งประชาชนได้นำเงินออกมาซื้อพันธบัตรกันจำนวนมาก ส่วนจะเพิ่มการจำหน่ายพันธบัตรอีกหรือไม่นั้น จำเป็นจะต้องหารืออีกครั้งเพราะเรื่องนี้อาจจะกระทบตลาดการเงิน ส่วนมาตรการช่วยเหลือประชาชน ในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ 5 มาตรการ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้เช่นกัน เพราะบางเรื่องยังมีปัญหา จำเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุงและผลสำรวจประชาชนมีความพึงพอใจ เช่น รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ค่าน้ำฟรี ค่าไฟฟรี และการควบคุมราคาแก๊สหุ้งต้ม หากเรื่องใดประชาชนมีความพึงพอใจก็จะทำต่อไป สำหรับพันธบัตรรัฐบาลออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ที่เปิดให้ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จองซื้อก่อนเป็นวันแรก เมื่อวานนี้ วงเงิน 30,000 ล้านบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่ายังไม่พบธนาคารผิดเงื่อนไขโดยการเปิดขายล่วงหน้า นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการเปิดจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งว่า หลังจากรัฐบาลได้เปิดให้ผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ได้สิทธิ์จองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 7 แห่งในสัดส่วน 15,000 ล้านบาท จากวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท พบว่ามีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก โดยจองซื้อหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง กระทรวงการคลังจึงได้นำโควต้าที่จะจำหน่ายให้รายย่อยทั่วไปในรอบที่3จำนวน15,000ล้านบาทจาก20,000 ล้านบาท มาเพิ่มให้ผู้สูงอายุอีกเท่าตัวเป็น 30,000 ล้านบาท ซึ่งพบว่ามีผู้มาจองซื้อหมดภายในเวลาไม่ถึง2ชั่วโมง รวมจำนวนผู้สูงอายุที่จองซื้อพันธบัตรได้ในรอบแรกประมาณ 40,000 รายทั่วประเทศ เฉลี่ยรายละ 6-7 แสนบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์จากปกติที่มีประมาณไม่เกิน8,000 พันราย และยืนยันว่าขณะนี้ไม่พบรายงานว่ามีธนาคารใดทำผิดเงื่อนไขโดยการเปิดให้ลูกค้าจองซื้อล่วงหน้า ส่วนปัญหาการร้องเรียนที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากการบริหารจัดการของแต่ละธนาคารเอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ย้ำว่า สำหรับการเปิดจองซื้อพันธบัตรไทยเข้มแข็งในรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 15-16 กรกฎาคมนี้ หากความต้องการยังมีสูง รัฐบาลจะพิจารณาเพิ่มสัดส่วนให้ โดยจะนำส่วนที่เหลือในรอบสุดท้าย 5,000 ล้านบาท มาเพิ่มให้เพื่อรองรับความต้องการ นอกจากนี้รัฐบาลจะมีการพิจารณาเปิดจำหน่ายพันธบัตรรอบที่ 2 หากประเมินแล้วพบว่ามีประชาชนที่ไม่สามารถจองซื้อได้เป็นจำนวนมาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังกล่าวถึงมาตรการลดค่าครองชีพช่วยเหลือภาระประชาชน ที่จะสิ้นสุดโครงการในเดือนกรกฎาคมนี้ เชื่อว่าคณะรัฐมนตรีจะพิจารณาขยายเวลา 5 มาตรการ 6 เดือน ออกไปเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ทั้งการช่วยเหลือค่าน้ำประปา ,ไฟฟ้า, ค่าโดยสารรถขสมก. และบริการรถไฟฟรี เพื่อเป็นข่าวดีให้กับประชาชนด้วย รองนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 เตรียมเสนอของบประมาณจัดซื้อหน้ากากอนามัย 10 ล้านชิ้น เพื่อแจกจ่ายประชาชน พลตรีสนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรีใน ฐานะประธานคณะกรรมการระดับชาติเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กล่าวว่า ในวันนี้ จะมีการหารือกับคณะกรรมการฯ เพื่อเสนอของบประมาณ 10 ล้านบาท จัดซื้อหน้ากากอนามัย 10 ล้านชิ้น เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนใส่ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว นอกจากนี้จะหารือเรื่องค่ารักษาพยาบาลตรวจโรคไข้หวัดใหญ่2009 ในส่วนโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งมีแนวคิดอาจจะให้ตรวจรักษาฟรี ทั้งนี้ ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้แก้ไขปัญหาล่าช้า และเห็นด้วยที่จะให้มีการปิดโรงเรียน 2 สัปดาห์ แต่ต้องหารือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ส่วนมาตรการป้องกันการระบาด ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักวิธีป้องกันตัวเองและพยายามดูว่าผู้ป่วยมีโรคประจำตัวหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากโรคประจำตัว สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อนุมัติสำรองเงิน 600 ล้านบาท สนับสนุนนำเข้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จำนวน 2 ล้านโด้ส เพื่อฉีดให้กับประชากรไทยโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ให้ได้รับวัคซีนพร้อมกับประชาชนทั่วโลก นายแพทย์ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตระหนักถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศมาใช้กับประชากรในกลุ่มเสี่ยงก่อน จะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายในวงกว้างได้ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีมติอนุมัติสำรองงบประมาณ 600 ล้านบาท สำหรับการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จากต่างประเทศจำนวน 2 ล้านโด้ส ดังนั้นในระยะอันใกล้นี้ จะมีการนำเข้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จากต่างประเทศเพื่อมาฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในไทยจำนวน 2 ล้านคน พร้อมกับประชาชนประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งจะทำให้มาตรการการควบคุมการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทำได้เข้มแข็งและจะสามารถยุติการระบาดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้หยิบยกเรื่องการช่วยค่ารักษาให้แก่ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ โดยให้ศึกษาตัวเลขผู้ป่วยที่ชัดเจนก่อนเพื่อประกอบการเสนอของบประมาณต่อไป สำหรับมาตรการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ด้วยวัคซีนนั้น ขณะนี้เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนตามสายพันธุ์ไวรัสชนิด A H1N1 ทั้งจากเชื้อที่มีชีวิตและปราศจากชีวิต จะมีการพัฒนาในประเทศแถบอเมริกาเหนือ ส่วนไทยองค์การเภสัชกรรมได้รับสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก เร่ง พัฒนากระบวนการผลิต คาดจะสามารถผลิตออกมาใช้ได้ภายในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลจะขอความร่วมมือโรงพยาบาลเอกชน ปรับลดค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษาไม่ให้เกิน 3,500 บาท ส่วนโรงพยาบาลของรัฐก็จะพยายามให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาโรคนี้ฟรี และในวันนี้ กระทรวงสาธารณสุข จะหารือกับกระทรวงแรงงาน เพื่อขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการทั่วประเทศ ให้ความรู้และคัดกรองผู้ป่วยในโรงงานทุกระดับชั้น เพราะเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีความเสี่ยง กระทรวงแรงงาน ยืนยัน แรงงานไทยในลิเบียที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อาการดีขึ้น และไม่มีการแพร่เชื้อไปสู่แรงงานไทยอีกกว่า 8,000 คน นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า วันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สำนักงานแรงงานไทย กรุงริยาด แจ้งว่า ประเทศลิเบีย ได้มีหนังสือด่วนมาว่า พบแรงงานไทยในลิเบียเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านที่ประเทศไทย และเมื่อเดินทางกลับไปที่ลิเบีย มีอาการไข้สูง 38.5 องศา จากการตรวจสอบพบว่า ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ประเทศลิเบีย ขณะนี้อาการดีขึ้นแล้ว ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่พบการแพร่ระบาดไปยังแรงงานไทยที่อยู่ในลิเบียอีกกว่า 8,000 คน ส่วนที่กระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ว่า จะมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ระลอก 2 ไปยังกลุ่มคนทำงาน ขณะนี้กระทรวงแรงงานได้มีหนังสือด่วนไปยัง สำนักงานแรงงานไทยในต่างประเทศ ทั้ง 11 ประเทศให้ตรวจสอบดูแลแล้ว และในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะประชุมสถานประกอบการทั่วประเทศ เพื่อรับมือกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขณะนี้ สำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข รายงานมีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แล้วรวมทั้งหมด 21 ราย เป็นหญิง 10 ราย ชาย 11 ราย อายุระหว่าง 8 ถึง 63 ปี ซึ่งพื้นที่ที่พบผู้ป่วยติดเชื้อเสียชีวิตมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร 8 ราย , ชลบุรี 3 ราย , ราชบุรี 2 ราย ,จังหวัดนครศรีธรรมราช ,นนทบุรี ,พระนครศรีอยุธยา ,ภูเก็ต ,มหาสารคาม ,สกลนคร สมุทรปราการ และเพชรบุรี จังหวัดละ 1 ราย ส่วนผู้ป่วยรายใหม่พบเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 329 คน ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 3,883 คน มีผู้ป่วยที่อาการน่าเป็นห่วง ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ทั้งหมด 10 คน มาที่ความเคลื่อนไหวเรียกร้องให้นายกษิต ภิรมย์ ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จากปัญหาถูกหมายเรียกในคดีก่อการร้าย โดยนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า นายกษิต ยังสามารถทำงานต่อไปได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้พูดคุยกับ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ซึ่งเข้าใจกันดี และตนเองได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าหากมีเพียงหมายเรียก ก็ยังสามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ และไม่จำเป็นต้องชี้แจงกับทหาร เพราะไม่ได้มีปัญหากัน ส่วนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเมื่ออัยการสั่งฟ้องคดีของนายกษิตแล้ว จะมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่ เพราะจะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริง ซึ่งอาจจะก่อนหรือหลังอัยการสั่งฟ้อง นายกรัฐมนตรี ยืนยันด้วยว่า การรักษาความปลอดภัยในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่จังหวัดภูเก็ต จะไม่มีปัญหา เพราะเชื่อว่าการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ของรัฐจะไม่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่เหมือนการประชุมที่พัทยา อีกทั้ง กอ.รมน. และผู้ที่รับผิดชอบทุกหน่วยงานได้ยืนยันว่า การประชุมครั้งนี้จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ส่วนกลุ่ม นปช.หากจะชุมนุมต่อต้านก็ให้อยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเตือน 35 จังหวัด ทั่วทุกภาคของประเทศระมัดระวังภัยจากฝนตกหนัก ระหว่างวันที่ 13 ถึง 16 กรกฎาคม นี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยเตือนประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มใน 35 จังหวัด ทั่วทุกภาคของประเทศระมัดระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ในระหว่างวันที่ 13-16 กรกฎาคม นี้ โดยให้ติดตามรับฟังพยากรณ์อากาศอย่างต่อเนื่อง หากสังเกตพบสัญญาณผิดปกติทางธรรมชาติ เช่น น้ำเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับสีดินบนภูเขา ระดับน้ำในลำห้วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สัตว์ป่าแตกตื่น มีเสียงดังมาจากป่าต้นน้ำ ให้รีบอพยพขึ้นที่สูงไปในบริเวณที่ปลอดภัยทันที กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยังได้รายงานสถานการณ์น้ำป่าไหลหลาก เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ พังงา ระนอง และสตูล รวม 10 อำเภอ 20 ตำบล ราษฎรเดือดร้อน 2,742 ครัวเรือน 2,912 คน ความเสียหาย อยู่ระหว่างการสำรวจ โดยศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตและสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้นแล้ว ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ สายด่วนนิรภัย 1784 เพื่อให้ความช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป นอกจากนี้น้ำป่ายังได้ไหลหลากเข้าท่วมหมู่บ้านในเขต อำเภอปัว จังหวัดน่าน ที่บ้านป่าปุก ป่าหัด บ้านร้อง บ้านขอน ตำบลปัว , บ้านปรางค์ หมู่ 3 และ บ้านสวนดอก หมู่ 9 เขตเทศบาลตำบลปัว และ บ้านร้องแงง หมู่ 7 ,บ้านห้วยเสือ หมู่ 8 ตำบลวรนคร ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน กว่า 30 หลังคาเรือน โดยเฉพาะที่บ้านห้วยเสือ หมู่ 8 ชาวบ้าน 10 หลังคาเรือนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากเป็นหมู่บ้านอยู่ติดริมห้วย น้ำป่าได้ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรอย่างรวดเร็ว โดยระดับน้ำสูงกว่า 1.3 เมตร เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้เข้าสำรวจ ให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พร้อมจัดกำลังเข้าสังเกตการณ์และเฝ้าระวัง เพื่อเตรียมช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ เมื่อมีสถานการณ์อุทกภัย และเหตุฉุกเฉินแล้ว พร้อมกับแจ้งเตือนราษฎรในพื้นที่เสี่ยง ให้พร้อมรับมือและขนย้ายทรัพย์สิน โดยให้ติดตามข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยา ทางวิทยุเสียงตามสายในหมู่บ้าน ตลอด 24 ชั่วโมง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook