รวมมติครม. 14 ก.ค.ที่น่าสนใจ

รวมมติครม. 14 ก.ค.ที่น่าสนใจ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2552 มีมติอนุมัติ-รับหลักการ เรื่องที่สำคัญ ตามที่คณะรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงดังนี้

@อนุมัติซื้อวัคซีนไข้หวัด 2 ล้านโด๊ส-ยา 10 ล้านเม็ด

ครม.อนุมัติให้มีการสั่งจองวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ จำนวน 2 ล้านโด๊ส งบประมาณ 600 ล้านบาท จากบริษัท Sanofi Pasteur Ltd. ในราคา 6 ยูโรต่อโด๊ส มีกำหนดส่งมอบภายใน 5 เดือน และอนุมัติให้จัดสรรงบประมาณอีก 250 ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อยา Oseltamiver จำนวน 10 ล้านเม็ดด้วย

ทั้งนี้ คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม จำเป็นต้องสั่งซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามนโยบาย ของกระทรวงสาธารณสุขเป็นการเร่งด่วน และมีเพียงบริษัท Sanofi Pasteur เท่านั้น ที่สามารถให้รายละเอียดเรื่องผลิตภัณฑ์ ราคา และการกำหนดการส่งมอบได้ และในการนี้ ได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับความรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์ Product Liability เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตแจ้งว่า วัคซีนดังกล่าว เป็นการผลิตเพื่อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้น หากเกิดความผิดพลาดขึ้น ผู้ผลิตจะไม่รับผิดชอบเว้นแต่เป็นความเสียหายอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อร้ายแรง หรือกระทำโดยจงใจเท่านั้น

ครม.ยังได้พิจารณาแนวทางการให้คำแนะนำและการป้องกันสำหรับประชาชนทั่วไปด้วย โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงมีมติ สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข จัดทำคู่มือชี้แจงประชาชนภายในวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 52 โดยจะแนบคำแนะนำ เกี่ยวกับอาการเบื้องต้น เช่น หากมีอาการเจ็บคอ ไม่มีไข้ ให้พักอยู่บ้าน สำหรับผู้รับราชการ หน่วยงานของรัฐ ให้ถือเป็นวันลา โดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์

สำหรับมาตรการการปิดโรงเรียนทั่วประเทศ ครม.มีมติว่าในทางการระบาดวิทยาแล้วการปิดโรงเรียนจะไม่เกิดประโยชน์ แต่จะให้ชุมชน โรงเรียน ที่มีการระบาด ให้ผู้มีอำนาจ สั่งปิด-หยุด ได้ในแต่ละพื้นที่ ส่วนการจัดคอนเสิร์ต ,ในผับ-บาร์ ครม.เห็นว่า ยังไม่สมควรมีคำสั่ง แต่ให้ขอความร่วมมือ เพราะนอกจากประเทศเม็กซีโกแล้ว ยังไม่มีประเทศใด มีมาตรการบังคับ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามสายด่วน 1422

@ เตรียมขายพันธบัตรไทยเข้มแข็งอีก 3 หมื่นล้าน

ครม.อนุมัติให้กระทรวงการคลัง ออกพันธบัตรไทยเข้มแข็งรอบใหม่อีก 30,000 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่ขายให้ผู้สูงอายุ และประชาชนทั่วไป จำนวน 50,000 ล้านบาท ทั้งนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีวะทรวงการคลัง ได้รายงานให้ครม.รับทราบว่าการขายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง สำหรับผู้สูงอายุและรายย่อยเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่พบว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมาก เพราะสามารถจำหน่ายได้มากกว่าที่กำหนดไว้ถึงเท่าตัว คือจาก 15,000 ล้านบาท เป็น 30,000 ล้านบาท จึงนำวงเงินพันธบัตรที่จะขายในรอบที่สาม มาเปิดขายให้กับผู้สูงอายุก่อน

ทั้งนี้ สถิติอัตราเฉลี่ย จำนวนผู้ซื้อ 40,000 ราย เฉลี่ยซื้อรายละ 700,000บาท ส่วนการเปิดขายพันธบัตรไทยเข้มแข็งใน สำหรับบุคลลทั่วไปวันที่ 15 ก.ค. 52 วงเงิน 15,000 ล้านบาท หากไม่เพียงพอจะนำวงเงินของพันธบัตรในส่วนที่เหลืออีก 5,000 ล้านบาท มาเพิ่มเติมให้ด้วย

@อนุมัติมาตรการน้ำ-ไฟ-รถเมล์-รถไฟ ฟรี

ครม.อนุมัติต่ออายุการใช้น้ำ ไฟ รถเมล์ รถไฟ ฟรีไปถึงสิ้นปี 2552 จากเดิมสิ้นสุดในสิ้นเดือนกรกฎาคา ตามที่ นายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยขยายระยะเวลาดำเนินการลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน ในโครงการ 5 มาตรการ 6 เดือน รวมทั้งการชะลอการขึ้นก๊าซแอลพีจีหรือก๊าซหุงต้ม เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนให้กับประชาชน การขยายเวลาครั้งนี้ จะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 11,117 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินจากงบกลาง ของงบประมาณ ปี 2552-2553 มาชดเชยภาระทั้งหมด และที่ประชุมยังเห็นชอบให้จัดสรรเงินเพื่อนำไปชดเชยภาระที่รัฐวิสาหกิจบางแห่งต้องรับภาระใน 6 มาตรการ อีก 452 ล้านบาท

@เตรียมอนุมัติลดภาษีเงินฝาก-ภาษีน้ำมัน

ครม.รับทราบตามข้อหารือของนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีข้อเสนอลดภาษีน้ำมันดีเซลเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน เช่น น้ำมันดีเซล บี 2 ที่ปัจจุบันเก็บอยู่ 75 สตางค์ต่อลิตร ก็อาจจะลดลงอีก 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อให้เท่ากับการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซล บี 5 ที่เก็บอยู่ 25 สตางค์ต่อลิตร โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีบัญชาให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ไปหารือรายละเอียดให้ชัดเจนแล้วนำเสนอครม.ในครั้งต่อไป

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้เสนอให้มีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ที่มีวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท โดย รมว.คลัง ระบุว่า ปัจจุบันมีบัญชีออมทรัพย์ทั่วประเทศ 7 ล้านบัญชี รวมวงเงินฝาก 3 ล้านล้านบาท ซึ่ง 90 % ของบัญชีเงินฝากทั้งหมด มีวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท จึงเป็นการออกมตรการเพื่อช่วยคนจน ส่วนวงเงินที่รัฐสูญเสียคงไม่มากโดยอยู่ในระดับร้อยล้านบาท

@อนุมัติประกันราคาข้าวโพด 7.10 บาท/กก.

ครม.อนุมัติประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2552/2553 กิโลกรัมละ 7.10 บาทต่อกิโลกรัม โดยเกณฑ์ต้นทุนการผลิตความชื้นไม่เกิน 14.5 % เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 5.43 บาท รวมค่าขนส่งให้แก่เกษตรกรจากไร่นาไปยังผู้รับซื้อเฉลี่ยก.ก.ละ 0.25 บาท และให้ค่าตอบแทนแก่เกษตรกร 25% โดยให้เริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. นี้เป็นต้นไป และเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบความเสียหายของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่อยู่ในสต๊อกของรัฐบาล โดยมีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

ทั้งนี้ครม.ได้เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ยกเว้นการดำเนินการตามมติครม.เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.เรื่องการจำหน่ายสินค้าข้าวโพดและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในโครงการของรัฐต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้ตรวจสอบหรือเซอร์เวเยอร์ หน้าโกดังก่อนเท่านั้น และมอบหมายให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รายงานให้ครม.ทราบโดยด่วนถึงสาเหตุที่ไม่สามารถจัดหาเซอร์เวเยอร์ได้

ครม.ยังได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปเร่งรัดการลงทะเบียนเกษตรกร เพื่อรับสิทธิ์ดังกล่าวให้ชัดเจน รวมถึงกรณีที่เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองที่ดิน รวมถึงที่ไม่มีสัญญาเช่าที่ดิน ให้ชัดเจน ในเบื้องต้นคาดว่าจะให้สิทธิ์ตามที่เกษตรกรที่เคยได้รับเหมือนก่อน แต่ต้องกำหนดเงื่อนไขห้ามไม่ให้เกษตรกรบุกรุกพื้นที่เพื่อปลูกข้าวโพดเพิ่มมากขึ้นไปอีก เชื่อว่าจะมีเกษตรกรมาลงทะเบียนทั้งสิ้น 290,000 ราย หรือคิดเป็นพื้นที่คนละ 20 ไร่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook