"ธนาธร" นำปราศรัยใหญ่ "อนาคตใหม่" ชู "สู้-ซ่อม-สร้าง" พิมพ์เขียวพัฒนาประเทศไทย

"ธนาธร" นำปราศรัยใหญ่ "อนาคตใหม่" ชู "สู้-ซ่อม-สร้าง" พิมพ์เขียวพัฒนาประเทศไทย

"ธนาธร" นำปราศรัยใหญ่ "อนาคตใหม่" ชู "สู้-ซ่อม-สร้าง" พิมพ์เขียวพัฒนาประเทศไทย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

งาน "Future is now อย่ากลัวอนาคต" ที่จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในวันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563 โดยมีแกนนำ ส.ส. และสมาชิกพรรคอนาคตใหม่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ก่อนจะมีการตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ในวันที่ 21 มกราคมนี้ ก็อยากจะมาเจอหน้าชาวอนาคตใหม่อีกครั้ง ทุกคนมีความกลัว ความเป็นห่วงต่ออนาคตของพรรคอนาคตใหม่ ที่พวกเราสร้างกันขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่มีอะไร จนถึงวันนี้ที่มี ส.ส.ในรัฐสภา แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ ทั้งฝุ่น PM 2.5 รถติด น้ำประปาเค็ม ซึ่งทำให้เห็นว่าปัจจุบันน่ากลัว แต่เรายังมีความหวังว่าอนาคตต้องดีกว่านี้ ปัจจุบันมันน่ากลัว แต่อย่ากลัวอนาคต เพราะอนาคตใหม่ที่ดีกว่ารอเราอยู่

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวในหัวข้อพิมพ์เขียวประเทศไทย ว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาตนและพรรคอนาคตใหม่ทำกิจกรรมมากมายหลายอย่าง แต่มีเอกภาพ คือ 3 จุดประสงค์ สู้ กับความไม่เป็นธรรมในสังคม ซ่อม ความล้มเหลวของประเทศ และ สร้าง สังคมไทยที่น่าอยู่

ขณะเดียวกัน โมเดลเศรษฐกิจแบบประชารัฐให้กลุ่มทุนใหญ่เป็นหัวหอกในการพัฒนาเศรษฐกิจ เปิดเสรีให้ต่างชาติมาลงทุน เช่น ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และรถไฟความเร็วสูง และสุดท้ายคือการสงเคราะห์คนยากไร้ให้พออยู่ได้ด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งโมเดลนี้จะพาประเทศมีการผูกขาดในภาคธุรกิจมากขึ้น ประเทศเติบโตโดยไร้เทคโนโลยี อำนาจที่มาจากการแต่งตั้งสูงกว่าเสียงประชาชน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และเกิดการกดทับเสรีภาพ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนามนุษย์และนวัตกรรม แต่สิ่งที่เราต้องกลัวไม่ใช่อนาคต แต่เราต้องคิดว่าเราจะตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงทันหรือไม่

 

โดยพรรคอนาคตใหม่มองว่าพิมพ์เขียวประเทศไทยที่อยากเห็นคือ ประชาชนเป็นเจ้าของเทคโลโนยี มีสิทธิเสรีภาพ และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ ดังนั้น การแก้เศรษฐกิจไทยที่ป่วยหนักคือ การใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เนื่องจากการบริโภคของภาคเอกชน การลงทุน และการส่งออก เริ่มอิ่มตัวประกอบกับผลจากเศรษฐกิจโลก และการใช้จ่ายภาครัฐจะกระตุ้น 3 ปัจจัยนี้ให้มีชีวิตอีกครั้งด้วย

อย่ากลัวอนาคตใหม่_๒๐๐๑๑๘_0002.jpg

ขณะเดียวกัน ต้องเอาปัญหาของประเทศมาเป็นการลงทุนของภาครัฐ เอาปัญหาของสังคมมาสร้าง Demand แล้วสร้างอุตสาหกรรม สร้างเทคโนโลยีและการจ้างงานตามมา เช่น การสร้างรถไฟรางเบา แก้ปัญหาการขนส่งมวลชนที่ไม่มีคุณภาพ, การสร้างรถเมล์ไฟฟ้าเพื่อนำคนเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน, การกำจัดขยะและคัดแยกขยะ เช่น สถานีคัดแยก และโรงเผาขยะที่มีมาตรฐานโดยไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง ซึ่งจะมีการสร้างเทคโนโลยี และการจ้างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากโมเดลของประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศเริ่มจากการสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง ดีกว่าจะเอางบประมาณไปจ้างต่างชาติเข้ามาทำงานให้แล้วไทยไม่มีเทคโนโลยีหรือองค์ความรู้เป็นของตัวเอง เพราะทุกวันนี้เราจะมองประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอย่างเดียวไม่ได้ 

ขณะเดียวกันต้องมีพิมพ์เขียวของการบริหารภาครัฐควบคู่กันไปด้วย ปกติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 3.3 ล้านล้านบาท มีงบประมาณกว่า 2.1 ล้านล้านบาทเป็นงบที่ออกแบบโดยระบบราชการที่รัฐบาลเอามาออกแบบการใช้จ่ายไม่ได้ เหลือแค่ 1.2 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลออกแบบได้ แต่มักไม่ค่อยเกิดประโยชน์กับประชาชน เช่น การจัดอบรม การจัดนิทรรศการ ดูงานต่างประเทศ ฯลฯ พรรคอนาคตใหม่ต้องการเสนอให้ยกเลิกงบประมาณแบบเก่าแล้วค่อยพิจารณางบประมาณแบบใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน ตามหลัก Zero-based 

นอกจากนี้ยังต้องการพิมพ์เขียวในการพัฒนาคน ทุกวันนี้เด็กแข่งขันกันตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนมัธยมศึกษา ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เริ่มต้นพร้อมกันตอนเรียน ม.1 ดังนั้นหากคนที่ยากจนก็ไม่มีโอกาสที่จะเข้าเรียนในคอร์สพิเศษต่างๆ เหมือนลูกของคนที่พอมีฐานะ ดังนั้นจึงต้องทำให้คนของเราเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

แม้ทุกวันนี้พรรคอนาคตใหม่จะไม่ได้เป็นฝ่ายบริหาร แต่ยังรักษาสัญญากับประชาชน ผลักดันกฎหมายต่างๆ ตามบ้านนโยบายที่พรรคเคยนำเสนอไว้กับประชาชน เช่น ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า, พ.ร.บ.รับราชการเกณฑ์ทหาร, และพ.ร.บ.ประกาศยกเลิกคำสั่ง คสช. 17 ฉบับ ฯลฯ

นายธนาธรกล่าวต่อว่า 88 ปีประชาธิปไตยไทย ประเทศจะไม่สามารถพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้ หากไม่แก้ปัญหาโครงสร้าง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook