พ่อของ "เฮียตี๋" เสี่ยเต็นท์รถ ตายยกครัว 5 ศพ ยังติดใจ ไม่เชื่อลูกชายมีหนี้นับสิบล้าน

พ่อของ "เฮียตี๋" เสี่ยเต็นท์รถ ตายยกครัว 5 ศพ ยังติดใจ ไม่เชื่อลูกชายมีหนี้นับสิบล้าน

พ่อของ "เฮียตี๋" เสี่ยเต็นท์รถ ตายยกครัว 5 ศพ ยังติดใจ ไม่เชื่อลูกชายมีหนี้นับสิบล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พ่อของ "เฮียตี๋" เสี่ยเต็นท์รถ ที่รมควันเสียชีวิต 5 ศพ ยังติดใจ ไม่เชื่อสาเหตุการตาย ขณะที่เจ้าหนี้ของเฮียตี๋ต่างพร้อมใจนำหลักฐานและข้อมูลมาลงบันทึกประจำวัน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

ความคืบหน้า กรณีเหตุสลดใจของ นายกัณ หรือ เฮียตี๋ อายุ 40 ปี เจ้าของเต็นท์รถยนต์มือสอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก ที่ใช้เตาอั้งโล่รมควันพร้อมกับคนในครอบครัว ประกอบด้วย นางสุ อายุ 60 ปี มารดาเฮียตี๋, น.ส.พร อายุ 45 ปี พี่สาวเฮียตี๋, นางยอด อายุ 41 ปี ภรรยาของเฮียตี๋ และ ด.ช.รชฏ อายุ 13 บุตรชายของทั้งสองคน ก่อนจะกินยาฆ่าตัวตายจนเสียชีวิตรวมกันถึง 5 ศพ

นอกจากนี้ ยังมีสุนัขอีก 6 ตัว พันธุ์บีเกิล 2 ตัว ชิสุ 3 ตัว และ ปอมปอม 1 ตัว ถูกรมควันตายไปด้วย ที่เกิดเหตุภายในห้องพบยานอนหลับชนิดกล่อมประสาทวางอยู่ในห้อง และมีเตาอั้งโล่ที่ใช้จุดรมควันเหลือเพียงกองเถ้าถ่านวางอยู่ในห้องน้ำซึ่งเปิดประตูเอาไว้ด้วย คาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 วัน

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (22 ก.พ. ) ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อเวลา  12.00 น. กลุ่มเจ้าหนี้ของ นายกัณ หรือ เฮียตี๋ จำนวนกว่า 10 คน ได้รวมตัวกันไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก เพื่อนำหลักฐานเอกสาร และข้อมูลเกี่ยวกับการกู้เงินของเฮียตี๋ไปลงบันทึกประจำวัน เพื่อความบริสุทธิ์ใจ นำโดย นายภิชาติ ญาติของเฮียตี๋

นายภิชาติ หนึ่งในเจ้าหนี้ของเฮียตี๋ กล่าวว่า ตนเองนั้นได้นำเงินมาลงทุนร่วมกับนายกัณ หรือ เฮียตี๋ และให้ยืมเงินมาโดยตลอด ซึ่งตนเองนั้นก็โน้ตเอาไว้ว่ามีการคืนเงินเมื่อไร นอกจากนี้ เฮียตี๋ก็ไปขอยืมน้องสาวของตนเอง มีหลักฐานการยืมเงินอีกกว่า 8 ล้านบาท ซึ่งตนเองและเพื่อนๆ ที่เป็นเจ้าหนี้เฮียตี้อยากให้สบายใจทุกฝ่าย จึงนำหลักฐานมาแสดงความบริสุทธิ์ใจกับเจ้าหน้าที่

ขณะนี้ นายธง หรือ ตี๋สั้น อายุ 61 ปี พ่อของนายกัณ ได้เดินทางมาให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน พร้อมขอเอกสารเพื่อนำไปประกอบในการรับศพทั้งหมดที่นิติเวช โรงพยาบาลพุทธชินราช และนำไปทำเพ็ญกุศล

นายธง กล่าวว่า ตนเองยังไม่ปักใจเชื่อสาเหตุการตายของลูกชายและครอบครัว ซึ่งอาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ซึ่งตนเองถึงแม้ว่าจะแยกครอบครัวกันอยู่ แต่ก็ติดต่อกันตลอดเวลา คนภายนอกจะไม่รู้เรื่อง ลูกชายมีปัญหาเรื่องหนี้สิน 1-2 ล้าน ตนเองก็หยิบยื่นให้ เพราะการทำธุรกิจก็ต้องมีเงินหมุนเวียนเป็นเรื่องธรรมดา

แต่จะมาบอกว่าลูกชายติดสิ้นนับ 10 ล้านบาท ตนไม่เชื่อแต่อย่างใด อีกทั้งสาเหตุการตายก็ไม่ชัดเจน จะต้องมีการผ่าพิสูจน์จากแพทย์นิติเวช ให้ชัดเจนอีกครั้ง เนื่องจากลูกสาวก็จบปริญญาโท จากลอนดอน สายภาษา ส่วนลูกชายก็จบเตรียมทหาร ก็คิดว่าไม่น่าจะคิดสั้นเช่นนี้

ขณะที่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนได้เรียกสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้วจำนวน 3 ปาก ซึ่งก็ได้ข้อมูลมามากพอสมควร ว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิตนั้นไปกู้เงินจากธนาคารใดบ้าง

ส่วนเงินกู้นอกระบบนั้นก็เป็นกลุ่มของเพื่อนฝูงที่รู้จักกันจำนวนรวมถึงมากกว่า 10 ล้านบาท มีการเสียดอกเบี้ยต่อเดือนถึงหลักแสน จึงอาจจะทำให้หมุนเงินทางธุรกิจหลายอย่างที่เพิ่งลงทุนไปไม่ทัน อาทิ เต็นท์รถยนต์มือสอง สถานตรวจสภาพรถเอกชน ร้านกาแฟ ธุรกิจส่งน้ำแข็ง เป็นต้น จึงมุ่งไปที่ประเด็นการฆ่าตัวตายจากปัญหาหนี้สิน

ส่วนผลชันสูตรของแพทย์ระบุว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้งหมดสูดดมสารพิษเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มาก อีกทั้งในห้องที่เกิดเหตุมีการนำเอาถุงพลาสติกปิดช่องระบายอากาศเอาไว้ เพื่อมิให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากเตาอั้งโล่ ออกไปด้านนอกได้

ซึ่งส่วนใหญ่คนที่เสียชีวิตตามธรรมชาติทั่วไปแผ่นหลังจะมีเลือดตกสีดำคล้ำ แต่ถ้ามีสารพิษเข้าสู่ร่างกายที่แผ่นหลังจะมีเลือดตกเป็นสีแดงสด จึงสอดคล้องกับหลักฐานทางนิติเวชในที่เกิดเหตุ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook