พ่อเฮียตี๋ฆ่าตัวตายยกครัว 5 ศพ ยินดีใช้หนี้แทนลูกชาย ขอดูหลักฐานไม่ใช่พูดลอยๆ

พ่อเฮียตี๋ฆ่าตัวตายยกครัว 5 ศพ ยินดีใช้หนี้แทนลูกชาย ขอดูหลักฐานไม่ใช่พูดลอยๆ

พ่อเฮียตี๋ฆ่าตัวตายยกครัว 5 ศพ ยินดีใช้หนี้แทนลูกชาย ขอดูหลักฐานไม่ใช่พูดลอยๆ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

จากกรณี นายกัณตภณ อายุ 40 ปี หรือ เฮียตี๋ เจ้าของเต็นท์รถยนต์มือสอง ที่กินยาฆ่าตัวตายแล้วใช้เตาอั้งโล่รมควันพร้อมกับคนในครอบครัว แม่ ภรรยา พี่สาว และลูกชาย รวม 5 ศพ และสุนัขอีก 6 ตัว โดยทั้งหมดเสียชีวิตอยู่ภายในห้องนอนของบ้าน ด้านหลังเต็นท์รถดังกล่าว คาดสาเหตุเกิดจากความเครียดเรื่องหนี้สินที่หยิบยืมเพื่อนฝูงมาลงทุนจำนวนหลายล้านบาท แล้วหมุนเงินไม่ทันจากพิษเศรษฐกิจจนต้องฆ่าตัวตายยกครัว สร้างความสลดหดหู่ใจให้กับผู้ที่ทราบข่าวเป็นอย่างมากนั้น

ล่าสุดในวันนี้  บรรยากาศที่บ้านและเต็นท์รถยนต์ พบว่ามีการปิดป้ายห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยในวันนี้ทางครอบครัวของภรรยาเฮียตี๋ก็ได้เข้ามาเชิญวิญญาณด้วยการบอกกล่าว เพื่อเชิญดวงวิญญาณภรรยาเฮียตี๋ และลูกชาย กลับบ้านไปด้วยกัน และได้แวะพูดคุยกับฝั่งของ ตี๋สั้น พ่อของเฮียตี๋ เกี่ยวกับเรื่องการจัดการรถมือสองที่จอดอยู่ โดยให้ทาง ตี๋สั้น เป็นผู้จัดการต่อได้เลย ยกเว้นรถตู้ที่เป็นชื่อของ พี่สาวภรรยาเฮียตี๋ ที่จะขอรับรถคืนไปเมื่อเสร็จธุระทุกอย่างแล้ว

ด้านนายธงชัย หรือ เฮียตี๋สั้น บิดาของเฮียตี๋ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ถึง ณ วันนี้ ตนเองก็ยังทำใจไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วตนก็จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ถ้าผลออกมาว่าลูกตนฆ่าตัวตาย ตนก็พร้อมที่จะเชื่อตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ส่วนตัวแล้วตนเองมีสิทธิ์ที่จะเชื่อว่าลูกตนไม่ได้ฆ่าตัวตาย ส่วนในเรื่องของหนี้สินต่างๆ ที่มีเจ้าหนี้ออกมาพูดจาว่าลูกของตนเป็นหนี้มากมายหลายสิบล้านบาท หากไม่มีหลักฐานขอให้หยุดพูดจาให้ร้ายลูกตน ครอบครัววงศ์ตระกูลตนเสียหาย แต่ถ้าหากมีหลักฐานในการกู้ยืมเงิน ตนขอร้องให้นำหลักฐานในการกู้ยืมเงิน มาแสดงได้เลย มานั่งพูดคุยกันได้ ไม่ต้องกลัวอะไรตนเลย ตนยินดีรับฟัง ในวันพรุ่งนี้ที่งานฌาปนกิจศพลูกชายของตน ที่วัดท่าตะเคียน และตนยืนยันว่าหากลูกเป็นหนี้ใครจริงๆ และมีหลักฐานตนพร้อมที่จะคืนเงินให้ทุกบาททุกสตางค์แน่นอน 

ส่วนเรื่องของที่ดิน 4 ไร่เศษที่ตั้งร้าน และตัวบ้าน ตนพอทราบมาว่าลูกของตนไปนำไปเข้าแบงค์และนำเงินออกมาลงทุนนั้น หลังจากเสร็จธุระเรื่องงานเผาศพแล้ว ตนก็จะไปติดต่อเผื่อชำระหนี้และไถ่ถอนที่ดินแปลงนี้มาเก็บไว้แน่นอน เพราะเป็นที่ผืนที่ตนซื้อให้ลูกๆ และรักที่ผืนนี้มากอยากจะเก็บไว้ เพราะหากตนอยากจะขายคงขายไปนานแล้ว คงไม่ยกให้ลูกๆหรอก

ด้านนายธงชัย แป้นวงศ์ เฮียตี๋สั้น บิดาของเฮียตี๋ ได้บอกต่ออีกว่า ตอนนี้รถมือสองที่จอดอยู่ มีอยู่ 4 คัน คือรถตู้ 1 คัน ที่จะมอบคืนให้กับฝั่งพี่สาวของลูกสะใภ้กลับคืนไปเพราะรถเป็นชื่อเขา ส่วนรถเก๋งอีก 3 คันที่จอดอยู่ก็รอเจ้าของรถมาติดต่อรับคืนไป และในวันนี้ก็มีหุ้นส่วนของลูกชายที่ลงทุนทำโรงน้ำแข็งนำเอกสารมาติดต่อของรับรถน้ำแข็ง 4 คันที่จอดอยู่หลังบ้านกลับคืนไป

ด้านนายธงชัย ยังกล่าวอีกว่า เมี่อคืนก่อนหลังเกิดเหตุ ตนเองฝันว่าลูกสาวมาหา นั่งข้างๆ ร้องไห้เสียใจ และกล่าวว่าความจริงเราไม่ได้เป็นหนี้เขา แต่เขานั่นแหละที่เป็นหนี้เรา แต่ตนเองก็เชื่อว่ามันเป็นเพียงความฝันเท่านั้นไม่ได้คิดอะไรมาก ความจริงก็ว่าเป็นไปตามกฎหมาย

ด้าน พ.ต.อ.ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ  ผกก. สภ.เมืองพิษณุโลก กล่าวว่า ภาพรวมของคดีที่เกิดขึ้น จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุชัดเจนว่า ไม่พบความผิดปกติจากสาเหตุการเสียชีวิต  เนื่องจากมีการล็อคกลอนจากภายในห้อง  ซึ่งจากการสอบสวนพยานแวดล้อม พบว่าก่อนเกิดเหตุ 1-2 วัน พบเฮียตี๋สั่งให้ทำกลอนภายในห้องใหม่ พร้อมมีการนำพลาสติกแบบกันกระแทกและพลาสติกใสมาอุดตามช่องประตูหน้าต่าง เพื่อป้องกันอากาศไม่เข้ามาภายในหรือจากภายในออกไปภายนอกได้  ซึ่งที่เกิดเหตุในห้องนอนจุดพบผู้เสียชีวิต 5 ราย พร้อมสุนัข 6 ตัว มีการล็อคกลอนประตูถึง 2 ชั้นทั้งกลอนเก่าและกลอนใหม่ ก่อนมีการเปิดแอร์ จุดไฟเตาอั้งโล่ จึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีใครมาทำอะไรได้ ในกรณีการฆ่าตัวเสียชีวิตยกครัวนี้ และผลจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุสอดคล้องกันไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

อย่างไรก็ก็ตามจากการตรวจชันสูตรพลิกศพ  ไม่พบสารพิษในกระเพาะอาหาร  ทางตำรวจจึงต้องพิสูจน์ ว่า การตายผิดธรรมชาติหรือผิดอาญาหรือไม่ แน่นอนว่าทั้ง 5 คนทราบว่าจะต้องฆ่าตัวเสียชีวิตแต่ต้องดูว่าใคร เป็นคนลงมือในการก่อไฟ ให้เกิดการเสียชีวิตในครั้งนี้ ซึ่งคนลงมือจะมีความผิดอาญาด้วยที่กระทำการทำให้ผู้อื่นขาดอากาศหายใจ จนเกิดการเสียชีวิต ยังไงก็ตามหากผลตรวจจากนิติวิทยาศาสตร์ออกมา พบว่าหลักฐานต่างๆ มีเพียงรอยนิ้วมือของเฮียตี๋เพียงคนเดียว เฮียตี๋ก็จะกลายเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญาแต่เพียงผู้เดียว ส่วนอีก 4 รายที่เสียชีวิต ก็จะได้รับค่าชดเชยสินไหมจากกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นค่าสินไหมจากเหยื่ออาชญากรรม วงเงินประมาณ 1 แสนบาทต่อราย อีกด้วย

ขณะนี้ทางตำรวจจึงได้นำเลือด ส่งไปตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์  คาดว่าผลจะได้ใน 1 เดือน ว่ามีสารพิษหรือสารยากล่อมประสาทชนิดใดอยู่ภายในเลือดด้วยหรือไม่ และจะมีการตรวจลายนิ้วมือในการซีนพลาสติกว่ามีรอยมือของใครที่ทำบ้าง ซึ่งคดีนี้เราคงต้องมีความละเอียดรอบคอบต้องมีการแยกสารพิษในเลือด 4-5 คน คาดว่าคงต้องใช้เวลานานไม่ต่ำกว่า 1 เดือน อาจนานถึง 2 เดือน จะสรุปผลได้ ส่วนยอดหนี้สินยังไม่มีความชัดเจนจากยอดในธนาคาร 4-5 แห่ง วงเงินไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ส่วนที่ดินนำมาค้ำประกันเงินกู้ไว้กับธนาคาร จากการพิจารณาหลักฐานการเป็นหนี้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ต้องทำความเข้าใจกับครอบครัวทั้ง 2 ฝ่าย อีกครั้ง

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook