กรมการแพทย์ เผยเคสสาวชัยภูมิตรวจเจอโควิด-19 รอบสอง เป็นแค่ซากเชื้อไวรัส

กรมการแพทย์ เผยเคสสาวชัยภูมิตรวจเจอโควิด-19 รอบสอง เป็นแค่ซากเชื้อไวรัส

กรมการแพทย์ เผยเคสสาวชัยภูมิตรวจเจอโควิด-19 รอบสอง เป็นแค่ซากเชื้อไวรัส
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณีหญิง อายุ 38 ปี ชาว อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ มีประวัติกลับจากต่างประเทศและเคยเป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เคสเดิมที่เคยเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.พญาไท 2 กรุงเทพฯ กระทั่งแพทย์ระบุว่าหายแล้ว จากนั้นวันที่ 12 มี.ค. เจ้าตัวก็เดินทางกลับมากักตัวต่อที่ อ.หนองบัวแดง

ปรากฏว่าช่วงวันที่ 3-5 เม.ย. หญิงสาวกลับเริ่มป่วยอีกครั้ง และพอมาตรวจยืนยันว่าพบเชื้อโควิด-19 ที่ลำคอ ต้องเข้าสู่การรักษาใหม่อีกครั้ง แต่ผลตรวจทางปอดยังปกติไม่รุนแรง ต้องเข้าสู่กระบวนการสืบสวนโรคว่าได้ไปสัมผัสใครบ้าง

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงกรณีผู้ป่วยหญิงรายนี้ว่า ผู้ป่วยรายนี้เมื่อเริ่มป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยมาด้วยอาการไม่มาก นอนในโรงพยาบาลครบ 14 วัน แพทย์จึงแนะนำให้กลับบ้านและแยกตัวจากคนในครอบครัว ซึ่งผู้ป่วยก็ขับรถกลับบ้านที่จังหวัดชัยภูมิ และอยู่บ้านแยกตัวเองดีเยี่ยม

แต่ประมาณวันที่ 3-4 เมษายนที่ผ่านมา เริ่มมีน้ำมูกนิดหน่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว รู้สึกเหมือนมีไข้ จึงไปโรงพยาบาลหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ โรงพยาบาลเห็นว่าเคยมีประวัติป่วยติดเชื้อโควิด-19 จึงทำการตรวจหาเชื้อซ้ำก็พบเชื้อ ขณะที่ผู้ป่วยไม่มีไข้ แต่เพื่อความปลอดภัยแพทย์ก็ทำการแยกตัวให้อยู่โรงพยาบาลและใส่ชุดป้องกันตามมาตรฐาน ซึ่งการป่วยในครั้งนี้ของผู้ป่วยอาจจะเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียเพราะเม็ดเลือดขาวสูง แต่ไม่มีไข้ น้ำมูกนิดหน่อย และอัตราการหายใจ 20 ครั้งต่อนาที และผลแล็บอย่างอื่นก็ปกติ

ทั้งนี้ นายแพทย์สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ผู้ป่วยรายนี้น่าจะไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำ โดยเชื้อที่พบน่าจะเป็นซากของเชื้อไวรัส เพราะต่างประเทศสามารถตรวจเจอซากเชื้อได้ 30 วัน และศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกา ออกแนวทางหากผู้ป่วยอาการไม่มาก ให้อยู่โรงพยาบาล 7 วัน นับจากวันเริ่มมีอาการ เมื่อดีขึ้นแล้วให้กลับบ้านได้โดยไม่ต้องตรวจหาเชื้อซ้ำ แต่ของไทยจะให้อยู่ในสถานที่รัฐจัดให้นานถึง 14 วัน และแนะนำให้แยกตัวเมื่อกลับถึงบ้านและรักษาระยะห่างให้ครบ 30 วัน

ซึ่งซากที่พบเป็นตัวเชื้อไม่มีชีวิตแล้วจึงไม่สามารถแพร่เชื้อได้อีก อย่างไรก็ตาม กรมการแพทย์จะทำการแยกซากเชื้อคนที่ให้กลับบ้านได้มาทำการศึกษาต่อว่าสามารถเพาะซากเชื้อขึ้นหรือไม่ หากไม่ขึ้นแสดงว่าตายแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีการเก็บข้อมูล เพราะข้อมูลที่ได้จะเป็นของต่างประเทศ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook