ปลุกเกษตรกร อัพเกรดฟาร์มให้ได้มาตรฐานสู่ตลาดโลก
โดยจากการตรวจสอบฟาร์มสุกร พบว่า มีฟาร์มมาตรฐานที่ขึ้นทะเบียนกับทางกรมปศุสัตว์ปัจจุบันมีเพียง 3,470 ฟาร์ม จากทั้งหมด 200,000 ฟาร์มทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่า จะมีปริมาณการผลิตสุกรในปี 2552 ป1. 756 ล้านตัว ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 2.75 โดยราคาที่เกษตรกรขายได้เดือนกรกฎาคม อยู่ที่กิโลกรัมละ 55.70 บาท ซึ่งยังคงเป็นราคาที่อยู่ในเกณฑ์ดี เกษตรกรผู้เลี้ยงได้รับผลตอบแทนค่อนข้างสูง
รองเลขาธิการ กล่าวว่า เกษตรกรจำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงฟาร์มให้ได้มาตรฐาน ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการ รวมทั้งปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงโดยเน้นที่คุณภาพมากขึ้น ซึ่งในเรื่องของมาตรฐานฟาร์ม มีข้อกำหนดทั้งในเรื่องของสถานที่และโรงเรือน เช่น ฟาร์มต้องมีการจัดแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน ขนาดของโรงเรือนต้องเหมาะสมกับจำนวนสุกร มีระบบทางระบายน้ำเสียระบายจากโรงเรือนสู่บ่อบำบัดได้อย่างสะดวกไม่อุดตัน มีระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และการถ่ายเทอากาศที่ดี เหมาะสมกับขนาดและชนิดของสุกรที่เลี้ยง ส่วนข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการฟาร์มที่เหมาะสมนั้น ควรให้มีส่วนการผลิตแยกกันอย่างชัดเจน ต้องมีระยะพักของโรงเรือนหลังจากการย้ายสุกรออกโดยต้องทำความสะอาด พื้นคอก อุปกรณ์การให้อาหารน้ำ โรงเรือนควรได้รับการดูแล และซ่อมบำรุง ให้ใช้ประโยชน์ได้ดี และมีความปลอดภัยต่อทั้งผู้ปฏิบัติงาน และตัวสุกร มีสัตวแพทย์ที่มีใบอนุญาตประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้นหนึ่ง และได้รับใบอนุญาตควบคุมฟาร์ม จากกรมปศุสัตว์ เป็นผู้ควบคุมกำกับดูแลด้านสุขภาพสัตว์ภายในฟาร์ม มีระบบการบันทึกข้อมูลที่ง่ายต่อการตรวจสอบ อาหารสัตว์ต้องมีคุณภาพที่กำหนดตาม พ.ร.บ. ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ ได้มาตรฐานเหมาะสมและสอดคล้องกับช่วงอายุและชนิดของสุกร ต้องไม่ใช้สารต้องห้ามตามกฎหมายผสมในน้ำ ซึ่งหากเกษตรกรมีการพัฒนาปรับปรุงระบบบริหารจัดการฟาร์มให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพแล้ว นอกจากจะช่วยลดต้นทุนการผลิต ยังส่งผลไปถึงประชาชนผู้บริโภคให้ปลอดภัย มีสุขอนามัยที่ดี และยังทำให้สินค้าปศุสัตว์ของไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้