เอกชนไม่เชื่อมั่นผลงานรอบ 6 เดือนของรบ.
ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกผ่านงบ 1 แสนล้านบาทที่ได้ผลน้อย ได้แก่ การขึ้นภาษีน้ำมันสรรพสามิต การออกพรก.และ พรบ. เงินกู้ 800,000 ล้านบาท การให้สินเชื่อผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เบี้ยยังชีพคนชรา โครงการธงฟ้าลดค่าครองชีพ ส่วนมาตรการที่ได้ผลดี ได้แก่ เรียนฟรี 15 ปี ต้นกล้าอาชีพ โครงการชุมชนพอเพียง นอกจากนี้ผู้ประกอบการกว่า 55.3% ยังไม่แน่ใจต่อการเร่งเบิกจ่ายงบของรัฐ และอีก 42.4% มองว่าการเบิกจ่ายทำได้ล่าช้า มีเพียง 2.4% ที่เห็นว่าดีแล้ว ส่งผลให้ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ภาคธุรกิจยังต้องเผชิญกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ กำลังซื้อลดลง ปัญหาสินเชื่อ ต้นทุนการผลิต การควบคุมราคาสินค้า น้ำมันแพง
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ภาคเอกชนเชื่อว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง 44.6% เหมือนเดิม 26.5% ดีขึ้น 27.7% ทำให้ผู้ประกอบการ 86.7% ยังไม่มีความมั่นใจที่จะลงทุนหรือขยายตลาดเพิ่ม และอีก 84.3% ไม่แน่ใจที่จะขอสินเชื่อเพื่อเพิ่มการดำเนินงานใหม่ เพราะยังกังวลต่อปัญหาการชะลอตัวเศรษฐกิจมากสุด รองลงมาคือความไม่แน่นอนทางการเมือง กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และปัญหาการขอสินเชื่อสภาพคล่องทางธุรกิจ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง ผ่านการพ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ที่ไม่ชัดเจน เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ภาคเอกชนลังเลใจขยายการลงทุนเพิ่ม แต่สิ่งที่รัฐบาลทำสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกคือ ปัญหาแรงงานและเช็คช่วยชาติ จากเดิมที่คาดการณ์ว่าครึ่งปีแรกจะว่างงานถึง 1 ล้านคน แต่ขณะนี้อยู่ที่ 6 แสนคนเท่านั้น ส่วนมาตรการที่รัฐบาลสอบตกชัดเจนคือการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันได้คะแนน 2.7 จากเต็ม 10 คะแนน เพราะเป็นผลักภาระการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 2 บาท ให้ประชาชนจ่ายเต็ม แทนที่จะให้กองทุนน้ำมันช่วยเหลือ นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า การให้คะแนนภาพรวมของการบริหารประเทศช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลจะสอบผ่านเฉียดฉิว ได้คะแนนความพอใจ 6.6 คะแนน และความสำเร็จ 6.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 หรือได้เกรดซีบวก แต่ด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าหนักทั้งเศรษฐกิจโลกยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว ความไม่แน่นอนจากปัญหาการเมือง และการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 ทำให้สัญญาณเศรษฐกิจภายในประเทศไม่มีสัญญาณฟื้นชัดเจน ส่งผลให้ผู้ประกอบการยังลังเลใจที่จะลงทุนเพิ่ม โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มได้ในไตรมาสสี่ปี 52 ถึงไตรมาสหนึ่ง ปี 53.