800,000 ล้าน กู้มาทำไมต้องระวังอะไรบ้าง
วันนี้ผมจะมาวิเคราะห์ให้ฟังถึงความจำเป็น และข้อควรระวังเกี่ยวกับการกู้ยืมดังกล่าว
สำหรับคำถามข้อแรก ทำไมต้องกู้เหตุผลในเรื่องนี้ชัดเจนมาก เพราะว่าช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี ส่งออกไม่ได้ ประชาชนไม่จับจ่ายใช้สอย แถมเอกชนไม่ลงทุน และยังตัดคนงานลงเช่นนี้ รัฐบาลจะต้องทำหน้าที่ทดแทนกำลังซื้อ ใช้จ่าย ลงทุนที่หายไปจากระบบ
ถ้ารัฐบาลไม่ทำอะไร อยู่เฉย ๆ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน รอให้เศรษฐกิจฟื้นเอง เศรษฐกิจจะตกหลุมอากาศมากกว่านี้ และคนจะตกงานมากขึ้น กว่าจะฟื้นตัวได้ก็จะใช้เวลานาน ความเสียหายก็จะมากกว่านี้
เพราะเหตุนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนมาก จึงเห็นตรงกันว่า ครั้งนี้รัฐบาลต้องกู้ แม้จะดูว่ารัฐบาลใช้จ่ายเกินตัว หย่อนวินัยการคลังไปบ้าง และจะสร้างหนี้ให้ลูกหลานของเราต้องมารับภาระชดใช้ในอนาคต
ประเด็นสำคัญที่ต้องถาม ก็คือ กู้มาทำอะไร และกู้มามากเกินไปหรือไม่
ในประเด็นนี้ชัดเจนว่า เงินจำนวนดังกล่าวกู้มาเพื่อใช้ลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคสำคัญของประเทศ เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้า ใต้ดิน ถนนหน้ำ รวมถึงการพัฒนาด้าน การศึกษา เป็นต้น ตรงนี้ ถ้าจะว่าไป ก็เป็นโครงการที่ประเทศต้องการ เพราะเราไม่ได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่มีจำกัดในปัจจุบัน กลายเป็นคอขวดทำให้ภาคเอกชนไทยแข่งขันได้ไม่เต็มที่ในเวทีโลก
จากการประมาณการเบื้องต้น พบว่าการกู้ยืมเพื่อโครงการลงทุนดังกล่าว และการกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณในแต่ละปีจากการที่เก็บภาษีได้น้อยลง ท้ายสุดจะทำให้หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 60% ของรายได้ของประเทศ ในช่วงปี 2555-56 ก่อนที่จะปรับลดลงมาตามลำดับ
ตรงนี้ ถ้าจะเทียบแล้ว เทียบได้กับคนที่ทำงานมีเงินเดือนปีละ 100,000 บาท แต่ไปเป็นหนี้ปีละ 60,000 บาท นับว่าสูง แต่ยังพอจัดการได้ แต่ก็ต้องระมัดระวัง หัวใจสำคัญอยู่ที่การดูแลให้หนี้ที่มีไม่สูงกว่า 60% ในระยะต่อไป ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลต้องมีวินัยในการใช้จ่ายให้มากขึ้นในระยะต่อไป
ที่ต้องระวัง ก็คือ เงินที่กู้ออกมาครั้งนี้ จะเป็นการกู้เงินครั้งสุดท้าย ที่รัฐจะสามารถเป็นชิ้นเป็นอันเอามาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้น ถ้าใช้เงินรอบนี้แล้วหมดไป การจะมากู้เพิ่มอีกครั้ง ก็คงลำบาก และหาได้ยาก เพราะหนี้ภาครัฐเริ่มสูงเป็นพิเศษแล้ว
ทั้งนี้ คนไทยทุกคนต้องช่วยกันสอดส่องดูแลให้เงินจำนวนนี้ให้ (1) ถูกนำไปใช้อย่างระมัดระวัง ได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรงจุด ไม่ใช้ไปอย่างอีลุ่ยฉุยแฉก ในเรื่องที่ไม่จำเป็น (2) ไม่รั่วไหล ไปยังกระเป๋าของใคร หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง นำมาซึ่งการทุจริตคอร์รัปชั่น ตามที่เป็นข่าวในขณะนี้ และ (3) ออกไปอย่างรวดเร็ว ทันต่อเวลา เพื่อช่วย ให้เศรษฐกิจที่ซบเซาอยู่ในขณะนี้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ที่ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล เพราะเม็ดเงินจำนวนนี้เป็นความหวังของทุกคนในการที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นขึ้น และช่วยวางรากฐานสำหรับการแข่งขันกับต่างประเทศของไทยในระยะยาว
ยิ่งไปกว่านั้น ต้องไม่ลืมว่า เงินนี้มาจากภาษีของเราและลูกหลานของเรา ก็ขอให้ช่วยกันครับ.
