คลังยันตีกลับจ่ายโบนัสขรก.6.8พันล้าน ไม่เกี่ยวถังแตกคุยมีงบฯเหลือเฟือ นายกฯเบรกขึ้นค่าโดยสาร

คลังยันตีกลับจ่ายโบนัสขรก.6.8พันล้าน ไม่เกี่ยวถังแตกคุยมีงบฯเหลือเฟือ นายกฯเบรกขึ้นค่าโดยสาร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
คลังยันตีกลับจ่ายโบนัส ขรก. 6.8 พันล้าน ไม่เกี่ยวถังแตก คุยมีงบฯเหลือเฟือจัดให้ได้เนื่องจากทิศทางเก็บรายได้ดีขึ้น แต่ติดปัญหาหลักเกณฑ์จ่าย และการคำนวณมากกว่า นายกฯสั่งห้ามขึ้นค่าโดยสาร-ขนส่ง ชี้ดีเซลไม่แตะ 30 บาทยังปรับไม่ได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ เมื่อเช้าวันที่ 16 สิงหาคม ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้หารือกับที่ปรึกษาด้านพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่รัฐบาลคาดการณ์เสมอว่าราคาน้ำมันลดลงไปช่วงก่อนหน้านี้ เหลือ 30-40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในตลาดโลก เป็นภาวะซึ่งไม่ค่อยปกติ มองว่าเมื่อเศรษฐกิจของโลกของประเทศ มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนยิ่งขึ้น ราคาน้ำมันก็จะพุ่งสูงขึ้นมาคาดการณ์ว่าตัวเลขที่บาร์เรลละ 70 เหรียญ น่าจะเป็นระดับปกติ ขณะนี้มองไปว่าเมื่อเศรษฐกิจของโลกฟื้นตัวชัดเจน มากยิ่งขึ้นจากบาร์เรลละ 70 ก็อาจจะกลายเป็น 80, 90, 100 ดังนั้น รัฐบาลต้องเก็บเงินก่อนหน้านี้ เพื่อสามารถมีเงินมาช่วยในเรื่องของการรักษาเสถียรภาพและบรรเทาความเดือดร้อนของราคาน้ำมันได้

สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงสามารถใช้กลไกหลายกลไก คือ กลไกในส่วนของกองทุนน้ำมันและ กองทุนอนุรักษ์น้ำมัน ซึ่งมีฐานะมั่นคงแล้วเข้ามาช่วยการลดราคาน้ำมันดีเซลลงมาได้ลิตรละ 2 บาท คงจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลไม่ขึ้นไปแตะที่ 30 บาท และเมื่อไม่ไปแตะที่ 30 บาทนั้น เคยพูดคุยตกลงกับบรรดาผู้ประกอบการทั้งหลาย (ผู้ประกอบการขนส่งอ้างข้อตกลงอยู่ที่ระดับลิตรละ 27 บาท) โดยเฉพาะในสาขาขนส่งคงจะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาขึ้นค่าโดยสารหรือเพิ่มภาระให้กับประชาชนด้วย เราเลือกน้ำมันดีเซล เพราะเป็นน้ำมันต้นทุนในการผลิต และเป็นน้ำมันที่มีผลกระทบประชาชนที่ยากจน หลายคนบอกทำเบนซินด้วย ยืนยันว่าพอราคาน้ำมันขยับขึ้นในตลาดโลก เราก็จะมีมาตรการเพิ่มเติม เราอยู่ในฐานะที่จะทำได้แล้ว ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นไปอีกถึงจุดหนึ่ง กองทุนน้ำมัน กองทุนอนุรักษ์จะไม่มาเป็นภาระกับประชาชนเลย แล้วเราอาจจะเริ่มใช้มาตรการทางด้านภาษีสรรพสามิต ขณะนี้เราได้เพิ่มขึ้นมาเป็นตัวปรับต่อไปได้อีกในอนาคต ขณะนี้สถานะกองทุน สถานะเรื่องตัวภาษี ทำให้เรามีความพร้อมที่จะจัดการกับปัญหานี้ได้ นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวถึงมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่ให้กลับไปทบทวนการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัดและสถาบันอุดมศึกษาที่มีการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 หรือเงินโบนัสข้าราชการ ซึ่งต้องใช้งบประมาณ 6,835 ล้านบาท โดยขอใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ของส่วนราชการและขอให้จัดสรรเงินสมทบบางส่วนจากเงินงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2553 เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการว่าไม่ได้มีปัญหามาจากด้านงบประมาณ แต่เป็นเรื่องของความชัดเจนในด้านหลักเกณฑ์ในการประเมินและให้รางวัลกับส่วนราชการมากกว่า

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังยืนยันได้ว่างบประมาณในส่วนของงบกลางของปี 2552 ก็ยังพอมีเหลืออยู่ และหากจะจัดสรรเพิ่มเติมในส่วนของงบประมาณปี 2553 ก็สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากฐานะการคลังในปัจจุบันเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ จากเดิมที่คาดว่าจะจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าประมาณ 2.8 แสนล้านบาท ขณะนี้คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายเพียง 2 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ฐานะการคลังอยู่ในภาวะที่จ่ายโบนัสไม่ได้แต่อย่างใด

ตามปกติทุกปีก็จ่ายช้าอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าปีนี้จะมีปัญหาด้านการคลัง แต่ว่ามันอยู่ที่หลักเกณฑ์การจ่าย และการคำนวณมากกว่า หากทุกอย่างเรียบร้อย ก็สามารถเบิกจ่ายได้ และข้าราชการทุกคนก็ได้เงินย้อนหลังอยู่แล้ว นายสมชัยกล่าว

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงกรอบการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อใช้ในโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 ว่า วงเงินเดิมที่ ครม.อนุมัติไว้ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ขณะนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะกู้จริงเพียง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยจะเป็นเงินกู้ในส่วนของธนาคารโลกที่กรอบการเจรจาการกู้เงินได้ผ่าน ครม.ไปแล้ว และกำลังนำกรอบข้อตกลงระหว่างประเทศเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอความชอบของตามมาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะทันในสมัยประชุมนี้

กรอบข้อตกลงกับธนาคารโลกที่ส่งเรื่องไปถึงสภาแล้วไม่น่าจะดึงกลับ เพราะ สบน.มองว่าการใช้เงินตราต่างประเทศในโครงการไทยเข้มแข็งยังมีความจำเป็นอยู่ เพราะบางโครงการต้องใช้เงินตราต่างประเทศซื้อเครื่องมือหรืออุปกรณ์เข้ามา และที่ลดลงไป 1 พันล้านเหรียญ (เงินกู้เงินจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือเอดีบี 500 ล้านเหรียญ และของไจก้าอีก 500 ล้านเหรียญ) เพราะขณะนี้แรงกดดันเรื่องรายได้ของรัฐบาลลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยกเลิกการกู้เงินจากต่างประเทศไปเลยเพียงแต่ชะลอไว้ก่อน หากจำเป็นก็นำมาใช้เป็นเครื่องมือได้ นายพงษ์ภาณุกล่าว

สำหรับวันสุดท้ายของการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (เออีเอ็ม) ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมทวิภาคีระหว่างไทยกับนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน ว่า หารือเกี่ยวกับแนวทางการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยนักลงทุนสหรัฐให้ความสนใจประเทศไทย เนื่องจากมีศักยภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และต้องการเข้ามาลงทุนเพิ่มเติม ในธุรกิจอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) และธุรกิจจัดส่งด่วน (เอ็กซเพรส เดลิเวอรี่ เซอร์วิส) ซึ่งเป็นสาขาบริการที่สหรัฐเชี่ยวชาญและเป็นผู้นำ

นักธุรกิจสหรัฐได้แสดงข้อกังวลเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยเฉพาะในเรื่องการประเมินภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิต ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันพร้อมจะอำนวยความสะดวกทางการค้ากับนักลงทุน เพราะกฎหมายหรือมาตรการใดๆ ของไทยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์องค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) อยู่แล้ว ซึ่งข้อกังวลของนักธุรกิจสหรัฐ กระทรวงพาณิชย์จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาต่อไป นางพรทิวากล่าว

นางพรทิวากล่าวว่า ฝ่ายไทยยังได้แจ้งต่อนักธุรกิจสหรัฐว่ารัฐบาลไทยมีนโยบายและให้ความสำคัญด้านปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวด มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญา ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านทรัพย์สินทางปัญญาในภาพรวม จึงขอให้เข้าใจถึงความจริงจังของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ และช่วยสร้างความเข้าใจกับรัฐบาลสหรัฐด้วย เพื่อให้ไทยพ้นจากสถานะประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (พีดับเบิลยูแอล) และให้สิทธิพิเศษทางด้านอัตราภาษีศุลกากร (จีเอสพี) แก่ไทยต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook