TWZ ร่วมทุนดีลเลอร์เปิดแฟรนไชส์ ขนเฮาส์แบรนด์ชิงแชร์มือถืออินเตอร์
นายพุทธชาติ รังคสิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TWZ เพื่อประกอบธุรกิจผู้แทนจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์สื่อสาร โนเกีย,โซนี่ อีริคสัน,ซัมซุง และ TWZ เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า สำหรับแผนการทำตลาดในช่วงครึ่งปีสุดท้ายบริษัทจะเน้นการจัดจำหน่ายมือถือเฮาส์แบรนด์ภายใต้ยี่ห้อ TWZ เป็นปัจจัยหลัก โดยจะเร่งขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มเติมมากขึ้นจากเดิมที่มีตัวแทนจำหน่ายอยู่ทั้งสิ้น 500 ราย และจะขยายเพิ่มเติมในรูปแบบแฟรนไชส์ภายใต้ TWZ Dealer Shop โดยจะร่วมลงทุนกับดีลเลอร์
เหตุผลที่บริษัทต้องร่วมลงทุนทำแฟรนไชส์กับตัวแทนจำหน่ายต้องการให้ตัวแทนจำหน่ายเกิดความมั่นใจระยะยาวและจัดจำหน่ายสินค้าของ TWZ เท่านั้น สำหรับการลงทุนแฟรนไชส์ใช้งบประมาณ 3-5 ล้านบาทโดยบริษัทร่วมลงทุนกับตัวแทนจำหน่ายในสัดส่วน 50:50
เราร่วมลงทุนเพราะต้องการผูกใจดีลเลอร์แต่จะเลือกลงทุนกับตัวแทนขนาดใหญ่และมีศักยภาพในการบริหารจัดการสินค้า
อย่างไรก็ตามยอดขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ TWZ จัดจำหน่ายเดือนละ 60,000-70,000 เครื่องจากตลาดรวมโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมด 700,000-800,000 เครื่องต่อเดือนโดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียง 10% เหตุผลที่มือถือเฮาส์แบรนด์ได้รับความนิยมทั้งๆที่เปิดตัวได้ไม่นานและสามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด โนเกีย และ ซัมซุง ส่งผลให้อัตราส่วนปรับตัวลดลงโดยเฮาส์แบรนด์มีส่วนแบ่งการตลาด 40-50%
วันนี้แทบไม่น่าเชื่อว่าเฮาส์แบรนด์มีส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 50% ทำให้ฝรั่งกลับบ้านไปกว่าครึ่งแล้วโทรศัพท์แบรนด์เนมอยู่ในท้องตลาดมีไม่กี่ยี่ห้อแต่วันนี้เฮาส์แบรนด์มีหลากหลายยี่ห้อแต่แบรนด์ที่รู้จักและได้รับความนิยมคือแบรนด์ที่ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯอย่าง TWZ และ ไอ-โมบาย
นายพุทธชาติ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับช่วงครึ่งปีสุดท้ายบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่ๆจะนำเข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่องและสินค้าที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้คือ มือถือ 2 ซิม และ มือถือ ดูทีวี เน้นเรื่องของฟังก์ชันเป็นจุดขาย อาทิเช่น วิดีโอ แชต และ เอ็มเอสเอ็น เป็นต้น ขณะที่บริษัทเตรียมแผนนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G เข้ามาจัดจำหน่าย ดังนั้นเมื่อระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G เกิดขึ้นเชื่อว่าเป็นการกระตุ้นตลาดเครื่องลูกข่าย (Handset) อีกทางหนึ่ง
ส่วนนายธนานันท์ วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า สำหรับแผนทำตลาดช่วงครึ่งปีหลังจะนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายจำนวน 18 รุ่น เป็นระบบทัชสกรีน (แบบจอสัมผัส) ที่มีขนาดใหญ่สามารถดูทีวีได้ โดยรุ่นที่เปิดวางจำหน่ายไปแล้วนั้น คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่น I-mobile TV 550 จำหน่ายในราคา 3,000 บาท และ I-mobile TV 650 ราคา 5,000-6,000 บาท โดยสินค้ารุ่นนี้จุดเด่นคือกล้องมีความละเอียด 3 ล้านพิกเซลจอภาพเป็นผลิตภัณฑ์ของชาร์ป
ครึ่งปีหลังสินค้าของเราจะเน้นไปที่มือถือทัชสกรีนจอใหญ่ มีคีย์บอร์ด รองรับพุชอี-เมล์ ราคาเฉลี่ย 3 พันกว่าบาทขึ้นไป
อย่างไรก็ตามโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบทัชสกรีนเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบนและล่างโดยสินค้าแต่ละรุ่นจะแตกต่างในเรื่องกล้องดิจิตอลความละเอียดตั้งแต่ 2-5 ล้านพิกเซล ส่วนคู่แข่งที่ออกสินค้ารุ่นใหม่เป็นทัชสกรีนบริษัทไม่มีความกังวล เนื่องจากว่าสินค้าของบริษัทเน้นเรื่องคุณภาพสินค้า โดยจะเลือกชิ้นส่วนที่มีคุณภาพ โดยจอภาพเลือกใช้ของ ไซโก ระบบเสียงโทรศัพท์จากยามาฮ่า กล้อง จากมาจากคาสิโอและฮิตาชิ
นายธนานันท์ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดจำหน่ายรวม 1.2 ล้านเครื่อง หรือประมาณ 200,000 เครื่องต่อเดือน และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านเครื่องคิดเป็นยอดรวมทั้งปี 2.7 ล้านเครื่อง โดยสินค้ารุ่นใหม่รองรับเทคโนโลยีระบบ 3G และ CDMA (Code division Multiple Access)