คลังหวั่นคุมหนี้สาธารณะ57%ไม่อยู่ ''กรณ์'' พะวงเงินเฟ้อพุ่ง ฉุดเศรษฐกิจโตต่ำกว่า 5%

คลังหวั่นคุมหนี้สาธารณะ57%ไม่อยู่ ''กรณ์'' พะวงเงินเฟ้อพุ่ง ฉุดเศรษฐกิจโตต่ำกว่า 5%

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
รมว.คลังสั่ง สบน. ทบทวน ลดกรอบวงเงินบริหารหนี้ปีงบ 53 ลงจากเดิมที่ตั้งไว้ 1.6 ล้านล้านบาท เหตุไม่ต้องชดเชยเงินคงคลังในงบปีหน้า คาดหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงสุดยืนระดับ 57% ในปี 56 หลังศก.ฟื้นเป็นบวกในปี 53 และโตระดับ 4.5-5% ในปี 55 แต่ยังพะวงเงินเฟ้อ อาจฉุดแผนเติบโตศก. -ดันหนี้สาธารณะสูงขึ้นอีก

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบาย และกำกับแผนบริหารหนี้สาธารณะ ครั้งที่ 3 ว่า ที่ประชุมได้วางกรอบการบริหารหนี้ภาครัฐปีงบประมาณ 2553 วงเงิน 1.6 ล้านล้านบาท โดยมีแผนกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 350,000 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เงินใหม่ 850,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการกู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้ อย่างไรก็ตาม ได้มอบนโยบายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จัดทำกรอบการบริหารหนี้ปีงบประมาณ 2553 ให้ลดลงจากกรอบเดิม เนื่องจากกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการทบทวนแผนการก่อหนี้ต่างประเทศ ซึ่งจะลดลงจากแผนเดิมทั้งในระดับโครงการ และระดับนโยบาย ซึ่งจะทำให้แผนการก่อหนี้ภาครัฐลดลงด้วย

ในปีงบประมาณ 2553 นั้นจะไม่มีการกู้เงินเพื่อชดเชยเงินคงคลัง เนื่องจากได้มีการชดเชยเงินคงคลังแล้วในปีงบประมาณ 2552 และจะมีการกู้เงินเพื่อชดเชยเงินคงคลังอีกครั้งในปีงบประมาณ 2554 นอกจากนี้ สบน.ยังได้รายงานว่าในปีงบประมาณ 2552 แผนการบริหารหนี้ภาครัฐได้ลดลงจากวงเงินเดิมที่ตั้งไว้ที่ 1.3 ล้านล้านบาท เหลือ 1.13 ล้านล้านบาท เนื่องมาจากรัฐวิสาหกิจมีการลงทุนไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลมีแผนการกู้เงินทั้งการบริหารหนี้ตามปกติและการกู้เงินตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟู และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจวงเงิน 800,000 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ระดับสูงสุดที่ 57% ในปีงบประมาณ 2556 ซึ่งต่ำกว่าสมมติฐานเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 61% เนื่องจากเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และภาระหนี้ต่องบประมาณอยู่ที่ 15% โดยเชื่อว่าปีงบประมาณ 2558 จะสามารถจัดทำงบประมาณจะเข้าสู่ภาวะสมดุลได้

นายกรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ได้มีการตั้งสมมติฐานประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2552 ที่ติดลบ 3.5% และจะกลับเป็นบวกในปี 2553 ที่ 2.5% จากนั้นในปี 2555 การขยายตัวของเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะปกติที่ 4.5-5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปี 2557 จะสูงถึง 3.5% ซึ่งอาจกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ตั้งข้อสังเกตว่าคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อดังกล่าวสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม แม้จะคาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพีระดับสูงสุดจะลดลงเหลือ 57% ในปีงบประมาณ 2556 แต่กระทรวงการคลังและธปท.ยังไม่เชื่อตัวเลขที่ทำมา โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก ดังนั้น จึงได้ฝากให้กลับไปพิจารณาว่าสมมติฐานเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อาจจะกระทบต่ออัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจบวกกับเงินเฟ้อ หรือ Norminal GDP ให้ลดลงได้ และจะทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น

นายกรณ์ กล่าวต่อไปอีกถึงกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงเตรียมยื่นถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วง และเกรงว่าจะเป็นปัญหาทางการเมืองที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติม โดยกระทำเพื่อบุคคลเพียงคนเดียว ซึ่งเห็นว่าทุกฝ่ายควรหยุดดำเนินการใด ๆ และหันมาช่วยดูแลเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นมากกว่า ทั้งนี้ ที่ผ่านมาปัญหาการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นด้วยที่จะมีการสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติม ด้วยการกระทำดังกล่าว

ส่วนการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมานั้น เป็นการชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง โดยกำหนดยุทธศาสตร์ในการเดินไปข้างหน้า และให้ฝากให้ปฏิบัติงานตามที่หน้าที่เพื่อปกป้องแผ่นดิน นอกจากนี้ก็ได้มีการหารือกับนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ และนายพฤติชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รวมทั้งนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงแทนข้าราชการที่จะเกษียณอายุ โดยขณะนี้ได้ดำเนินการวางตำแหน่งลงตัวแล้ว พร้อมชี้แจงผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดว่าการโยกย้ายครั้งนี้ได้พิจารณาจากความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงอาจมีทั้งคนที่สมหวัง และผู้ที่ไม่สมหวังแต่ขอให้เข้าใจ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook