"แม่ปุ๊ก" อ้างเป็นเภสัชกร แพทย์ยันเด็กได้รับสารพิษ ตำรวจพบสารต้องสงสัยในบ้าน

"แม่ปุ๊ก" อ้างเป็นเภสัชกร แพทย์ยันเด็กได้รับสารพิษ ตำรวจพบสารต้องสงสัยในบ้าน

"แม่ปุ๊ก" อ้างเป็นเภสัชกร แพทย์ยันเด็กได้รับสารพิษ ตำรวจพบสารต้องสงสัยในบ้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตำรวจพบสารต้องสงสัย ในบ้าน "แม่ปุ๊ก" รอผลพิสูจน์ แพทย์ยันเด็กรับสารผ่านทางระบบทางเดินอาหาร ลุยสอบเงิน 15 ล้าน

(18 พ.ค. 63) พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผบก.กก. 4 เปิดเผยว่า ตำรวจกองปราบปรามได้เข้าจับกุม นางสาวปุ๊ก ในบ้านพักย่านดอนเมือง หลังมีข้อมูลว่าผู้ต้องหาได้ทำการวางยาสารพิษบุตรและมีการโพสต์ข้อความ ขายสินค้า และขอรับเงินบริจาคนำไปเป็นค่ารักษาพยาบาลบุตร ที่ป่วยจากโรคประหลาด จนมีผู้คนหลงเชื่อบริจาคเงินและซื้อสินค้าจำนวนมาก รวมมูลค่ากว่าล้านบาท

ต่อมาเมื่อตำรวจทำการตรวจสอบบัญชีที่ผู้ต้องหาใช้รับโอนเงินต่างๆ จนพบว่าเอกสารที่ใช้เปิดบัญชี้นั้น มาจากการที่ น.ส. ปุ๊ก อ้างกับ น.ส.เอม ซึ่งเป็นมารดาที่แท้จริงของน้องอมยิ้ม ว่าจะนำเอกสารไปทำประกัน ชีวิตให้กับน้องอมยิ้ม ส่งผลให้ น.ส.เอม เชื่อและยินยอมเปิดบัญชีให้ แต่ น.ส.ปุ๊ก กลับนำเอกสารดังกล่าวไปทำการเปิดบัญชีเพิ่มอีก 4 บัญชี ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีเงินหมุนเวียนกว่า 15 ล้านบาท สำหรับเงินจำนวนนี้พบว่าไม่สัมพันธ์กับค่ารักษา ขณะที่จากการตรวจสอบยังไม่พบว่า น.ส.เอม หรือมารดาที่แท้จริงของน้องอมยิ้ม มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่

นอกจากนี้ จากการสืบสวนสอบสวนทางตำรวจ ได้รับข้อมูลจากพยานที่เกี่ยวข้องว่า อาจจะมีเด็กคนที่ 3 ที่ น.ส.ปุ๊ก อยู่ระหว่างขอรับมาอุปการะ ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ส่วนประเด็นสารพิษที่คาดว่าผู้ต้องหานำมาใช้นั้น พบว่าในวันเข้าตรวจค้นและจับกุม ทางตำรวจพบสารต้องสงสัยอยู่ภายในบ้านพัก ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวบรรจุอยู่ในขวดแก้ว สีใส โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งให้ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ตรวจสอบว่าเป็นสารชนิดใด ออกฤทธิ์อย่างใด และได้มาจากแหล่งไหน อีกทั้งยังทำการสอบสวนว่าเป็นสารที่ต้องใช้เฉพาะทางหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาทาง น.ส.ปุ๊ก อ้างว่าเป็นเภสัชกร ทำให้ตำรวจต้องทำการขยายผลเพิ่มเติมในประเด็นนี้อีกครั้ง

แต่จากการสอบปากคำ แพทย์ได้รับการยืนยันว่า เด็กทั้งสองได้รับสารบางอย่างผ่านทางการรับประทานเข้าไป ผ่านระบบทางเดินอาหาร ไม่ได้เกิดจากระบบพันธุกรรม หรือ โรคเรนินโนม่าห์ ตามที่นางสาวปุ๊กอ้าง เพราะโรคนี้แพทย์ยืนยันว่า ไม่พบว่ามีปรากฏในประเทศไทย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook