“ผู้ป่วยเพิ่ม - เศรษฐกิจพัง” นิทานสอนใจชาวโลก จากการรับมือ “โควิด-19” ของสวีเดน

“ผู้ป่วยเพิ่ม - เศรษฐกิจพัง” นิทานสอนใจชาวโลก จากการรับมือ “โควิด-19” ของสวีเดน

“ผู้ป่วยเพิ่ม - เศรษฐกิจพัง” นิทานสอนใจชาวโลก จากการรับมือ “โควิด-19” ของสวีเดน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ในยุโรป ประเทศสวีเดนก็กลายเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก เนื่องจากวิธีการรับมือและป้องกันโรคโควิด-19 ที่รัฐบาลไม่ประกาศล็อกดาวน์ และอนุญาตให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากใช้มาตรการดังกล่าว คือ ยอดผู้เสียชีวิตที่พุ่งสูงขึ้นแซงหน้าประเทศเพื่อนบ้านไปมาก และสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยลง

สวีเดนอนุญาตให้ร้านอาหาร ยิม ร้านค้า สนามเด็กเล่น และโรงเรียนเปิดทำการได้ตามปกติ ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สวนทางกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เดนมาร์กและนอร์เวย์ ที่ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งสั่งห้ามการรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ และสั่งปิดร้านอาหารในประเทศ แต่ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน สวีเดนกลับมียอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 มากถึง 5,420 ราย แม้จะดูเป็นจำนวนที่น้อย เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา ที่มียอดผู้เสียชีวิตมากกว่า 129,000 ราย แต่ประเทศสวีเดนที่มีประชากรทั้งประเทศเพียง 10 ล้านคน ทำให้สวีเดนมียอดผู้เสียชีวิตมากกว่าสหรัฐฯ ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร 1 ล้านคน หรือมีจำนวนมากกว่านอร์เวย์ถึง 12 เท่า มากกว่าฟินแลนด์ 7 เท่า และมากกว่าเดนมาร์ก 6 เท่า 

มาตรการที่สวีเดนใช้ สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของการรับมือและจัดการกับโรคโควิด-19 ที่ไม่เพียงแต่ยอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ระบบเศรษฐกิจของประเทศก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย แม้รัฐบาลจะประกาศให้ภาคธุรกิจดำเนินการต่อไปได้ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ธนาคารแห่งชาติสวีเดน ชี้ว่า อัตราการตกงานในสวีเดนเพิ่มขึ้น 9 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนพฤษภาคม ยิ่งไปกว่านั้น ภาคธุรกิจต่าง ๆ ในสวีเดนก็ต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกับภาคธุรกิจทั่วโลก นั่นคือ ท่าทีของผู้บริโภคในช่วงการระบาดของโรคอุบัติใหม่ ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับคนทั่วไป ส่งผลให้พวกเขาพยายามจำกัดการใช้เงินของตัวเองมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์

“พวกเขาไม่ได้อะไรจากการทำแบบนี้เลย มันเป็นความเสียหายที่เกิดจากตัวเอง และระบบเศรษฐกิจก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้น” Jacob F. Kirkegaard นักวิเคราะห์จากสถาบัน Peterson Institute for International Economics กล่าว  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook