นายกฯ เลบานอน พร้อมคณะรัฐมนตรี ยกทีมลาออก เซ่นระเบิดคลังสินค้าท่าเรือ

นายกฯ เลบานอน พร้อมคณะรัฐมนตรี ยกทีมลาออก เซ่นระเบิดคลังสินค้าท่าเรือ

นายกฯ เลบานอน พร้อมคณะรัฐมนตรี ยกทีมลาออก เซ่นระเบิดคลังสินค้าท่าเรือ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายกรัฐมนตรีเลบานอน นายฮัสซัน ดิอับ ยื่นหนังสือลาออกของตนเองพร้อมคณะรัฐมนตรีต่อประธานาธิบดีเมื่อวันจันทร์ (10 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น หลังผู้ประท้วงยกระดับของการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล ที่ทำให้เกิดการระเบิดรุนแรงที่ท่าเรือในกรุงเบรุตเมื่อวันที่ 4 ส.ค.

นอกจากนี้ รัฐบาลเลบานอนยังถูกกล่าวหาว่า มีการทุจริตคอร์รัปชั่น การไร้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารจัดการที่ผิดพลาดต่างๆ ที่ทำให้ผู้ประท้วงเริ่มชุมนุมกันตั้งแต่เดือน ต.ค. ปีที่แล้ว ก่อนจะต้องหยุดพักไปจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

ทั้งนี้ การปกครองในเลบานอนโดยกลุ่มคนกลุ่มเดียว หรือที่เรียกว่า คณาธิปไตย ดำเนินมายาวนานตั้งแต่หลังสิ้นสุดสงครามกลางเมืองเมื่อคริสต์ทศวรรษที่ 1990 และทำให้ประชาชนมองว่า ผู้บริหารประเทศอยู่ในอำนาจนานเกินไป

ก่อนหน้านี้นายดิอับไม่ได้ยินดีที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ นายดิอับประกาศผ่านแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ว่าจะทำหน้าที่ต่ออีกราว 2 เดือน เพื่อทำงานร่วมกับฝ่ายต่างๆ ให้ได้ข้อตกลงเกี่ยวกับแผนงานปฏิรูปก่อน

คณะรัฐมนตรีชุดที่เพิ่งลาออกนี้ เริ่มต้นทำงานมาตั้งแต่อดีตนายรัฐมนตรีคนก่อนหน้า นายซาอัด ฮารีรี ลาออกไปเมื่อเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว เนื่องจากถูกการประท้วงกดดันเช่นกัน

ส่วนการประท้วงเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผู้ชุมนุมปะทะกับกองกำลังความมั่นคงที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ประท้วง ซึ่งผู้ชุมนุมเหล่านี้โกรธแค้นรัฐบาลที่ไม่สามารถจัดการเหตุระเบิดล่าสุดได้

เหตุวินาศภัยที่กรุงเบรุตนี้ เชื่อกันว่า มีสาเหตุมาจากไฟที่ปะทุที่คลังสินค้าจัดเก็บสารแอมโมเนียมไนเตรต ปริมาณ 2,750 ตัน ที่อยู่ที่คลังสินค้าที่เกิดเหตุมาตั้งแต่ปี 2556 โดยไม่มีมาตรการป้องกันภัยมากเท่าใด

แม้ว่ามีการเตือนเกี่ยวกับความกังวลด้านความปลอดภัยมาหลายครั้งแล้วก็ตาม ซึ่งตอกย้ำประชาชนชาวเลบานอนว่ามีเหตุทุจริตคอร์รัปชั่นและการหละหลวมเพิกเฉยต่อหน้าที่ในรัฐบาลจริงๆ มีการประเมินว่า ความเสียหายจากเหตุสลดนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้าน-15,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ประชาชนเกือบ 300,000 คนต้องกลายมาเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัยแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook