“เพชร กรุณพล” นักแสดงผู้โลดแล่นในวงการบันเทิงด้วยคำว่า “ไม่เป็นไร”

“เพชร กรุณพล” นักแสดงผู้โลดแล่นในวงการบันเทิงด้วยคำว่า “ไม่เป็นไร”

“เพชร กรุณพล” นักแสดงผู้โลดแล่นในวงการบันเทิงด้วยคำว่า “ไม่เป็นไร”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกระแสการตื่นตัวทางการเมืองในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ คนดังในแวดวงต่างๆ ก็เริ่มออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองที่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ศิลปินและนักแสดงที่ครั้งหนึ่งเคยถูกติดป้ายว่าเป็น “พวกล้มล้างสถาบัน” และได้รับผลกระทบด้านหน้าที่การงาน พลิกกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือ “เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ” ที่แม้จะไม่ได้ถูกกล่าวหาร้ายแรง แต่ก็เป็นคนหนึ่งที่สูญเสียพื้นที่ในวงการบันเทิงจากการแสดงจุดยืนทางประชาธิปไตย

#เพชรกรุณพล ติดอันดับเทรนด์บนทวิตเตอร์เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากมีผู้โพสต์ข้อความเล่าว่านักแสดงผู้นี้ก็เป็นอีกคนที่ได้รับผลกระทบจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ส่งผลให้ชาวเน็ตต่างพากันส่งกำลังใจไปให้เขาอย่างล้นหลาม จนกระทั่งในการชุมนุมของกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่สนามหลวง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2563 คุณเพชรปรากฏตัวเพื่อร่วมแสดงจุดยืนทางการเมือง พร้อมเปิดเผยว่า เขาเพิ่งโดนปลดจากงาน หลังจากที่เจ้าของงานทราบว่าจะมาร่วมชุมนุม เมื่อต้องเป็นทั้งประชาชนและคนของประชาชน เพชร กรุณพล รับมือกับความท้าทายนี้อย่างไร และอะไรที่ทำให้เขายังคงโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงได้นานถึง 21 ปี มาหาคำตอบพร้อมกัน

เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณเพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ

Sanook นัดพบกับคุณเพชร ที่ร้าน On a Cloud Café ราษฎร์บูรณะ ซอย 4 ร้านกาแฟของคุณเพชรเอง ที่เพิ่งเปิดให้บริการไม่นานนัก สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาทีมงาน คือข้อความบนผนังที่เขียนว่า “Be a rainbow in someone’s cloud” หรือการเป็นสายรุ้งในก้อนเมฆของใครสักคน ทว่าเมื่อถามถึงความหมาย นักแสดงวัย 44 ปี ผู้นี้ กลับบอกว่าตัวเองเป็น “ก้อนเมฆ” ที่ลอยไปมาอย่างอิสระมากกว่า

“ตอนนั้นอายุ 24 – 25 เข้าวงการช้ากว่าคนอื่น แต่เฟี้ยว งัดกับทุกคน เพราะไม่ได้อยากเป็นดารา มาเพราะผู้ใหญ่ชวน ตอนนั้นที่บ้านก็ค่อนข้างมีเงิน ไม่เดือดร้อน ก็เลยคิดว่าใครมีปัญหา ไม่ชอบ ก็ไม่ต้องมายุ่ง” คุณเพชรเริ่มเล่าถึงช่วงเวลาที่ก้าวสู่สปอตไลต์ ความเป็นคนไม่ยอมใคร ทำให้เขามีปัญหากับผู้จัดละคร และตัดสินใจไม่ไปกองถ่าย

“เราเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้สนว่าใครจะเป็นอย่างไร สุดท้ายอาจิ๋ม มยุรฉัตร ก็โทรมาตาม แล้วเรารักเขา เราก็ได้ครับ ถ้าแม่ขอ เดี๋ยวผมเล่นให้ ก็กลับมาเล่น แต่กลับไปเป็นแบบอากาศธาตุที่ไม่มีใครคุยด้วยในกอง ก็ไม่สน ไม่แคร์ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้เล่นละคร 1 ปี เราก็สำนึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นเพราะนิสัยแบบนี้ ก็เลยนั่งตกตะกอนว่า เราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก เราต้องมีสังคม การจะอยู่ในสังคมเราต้องมีมารยาท ต้องคิดก่อนว่าหน้าที่การงานคืออะไร ความรับผิดชอบคืออะไร งัดแล้วมีคนเสียไหม ถ้าคนประสานงานกอง ธุรกิจเสื้อผ้า ทุกคนมีปัญหาหมด แล้วกับเราคนเดียว มันดีเหรอ พอโตแล้วมันก็น้อยลงจนหายไปเอง”

 

ก้าวย่างในวงการบันเทิงของคุณเพชรต้องสะดุดอีกครั้ง เมื่อเขาไม่ได้เข้าร่วม “เป่านกหวีด” กับดาราคนอื่นๆ ที่ออกมาชุมนุมในนามของ กปปส. แถมยังสวนกระแสโดยการโพสต์ชวนคนไปเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ในขณะที่เพื่อนร่วมวงการหลายคนชักชวนประชาชนออกไปปิกนิกเพื่อขัดขวางการเลือกตั้ง เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้จัดละครบางคนตัดสินใจไม่จ้างคุณเพชรมาเล่นละคร และก็เปิดโอกาสให้เขาได้ร่วมงานกับผู้จัดค่ายใหม่ๆ เช่นกัน ซึ่งขณะนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด

“เราไม่รู้ว่าเราจะตายตอนไหน ใช้ชีวิตให้มีความสุข ทำดีกับคนที่อยู่รอบตัวทุกคน เพราะเราเชื่อว่า ใครจะร้ายกับเรา ใครจะเลวกับเรา ถ้าเราดีด้วย เรายิ้มให้ เขาไม่ยิ้มไม่เป็นไร เรายิ้มทุกวัน เดี๋ยวเขาก็ยิ้มตอบ ถ้าเขามีความสุข เรามีความสุข มันก็ไม่มีใครมีความทุกข์” คุณเพชรว่า

กระแสการเมืองที่ตีกลับมาในช่วงนี้ ทำให้ศิลปินและนักแสดงหลายคนที่เคย “งานหด” ด้วยเหตุผลทางการเมือง กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ขณะเดียวกัน คนดังที่เป็นขั้วตรงข้ามกลับถูกขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตและถูกนำมาโจมตีในโลกออนไลน์ สำหรับกรณีของคุณเพชรกับผู้จัดละครที่เคยขัดแย้งกัน คุณเพชรเล่าว่า ผู้ใหญ่ท่านนั้นไม่รับไหว้เขามาตลอดระยะเวลา 6 ปี แต่ทุกวันนี้ทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว และกระแสโจมตีดังกล่าวก็ทำให้คุณเพชรเป็นห่วงความรู้สึกของผู้จัดเหล่านั้นมากกว่า

“เราต้องระวังจิตใจของคนที่ได้รับผลกระทบมากกว่า อย่างเช่นพวกผู้จัดหลายๆ คนที่เคยมีปัญหากับเราตอนนั้น ซึ่งถามว่าเขาผิดไหม เขาไม่ผิดเลยนะ เหมือนเราไม่ชอบรถยี่ห้อนี้ แล้วเราไปซื้ออีกยี่ห้อหนึ่ง เราผิดเหรอ ก็ไม่ผิด เขาไม่ชอบเรา เห็นหน้าเราแล้วไม่พอใจ เขาไปจ้างคนอื่น เขาผิดเหรอ ก็ไม่ผิด เขาเห็นว่าไอ้นี่มันพูดจาไม่เข้าหู ไม่จ้างดีกว่า เขาเป็นเจ้าของเงิน เขามีสิทธิ เราเลยบอกทุกคนว่ามันเป็นสิทธิของเขา อย่าไปว่าเขาเลย” คุณเพชรกล่าว

 

เมื่อถามถึงเหตุผลที่คุณเพชรยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง คุณเพชรอธิบายว่า นอกจากฝีมือและความรับผิดชอบต่อหน้าที่แล้ว เขายังเข้ามาในวงการนี้ในจังหวะที่ดี เพราะเมื่อ 20 ปีก่อน ดาราหน้าใหม่ที่เกิดขึ้นในแต่ละปีมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับสมัยนี้ และตนก็เป็นนักแสดงในกลุ่ม “กลางเก่ากลางใหม่” ที่ทำหน้าที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้ชมเมื่อมีการสร้างละครเรื่องใหม่ๆ ซึ่งนักแสดงกลุ่มนี้ก็มีจำนวนไม่มากเช่นกัน และการเดินทางในเส้นทางการแสดงเป็นระยะเวลานาน ยังเปิดโอกาสให้เขาได้สังเกตความเป็นไปของวงการบันเทิง ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย

“วงการบันเทิงมีการพัฒนามากขึ้น ทั้งด้านโปรดักชั่น บท วิธีการถ่ายทำ การเข้าออกของคนในวงการ เมื่อก่อนละครถ่ายเร็วและไม่ซับซ้อน ถ่าย 4 เดือน ไม่เกิน 6 เดือน เสร็จ ปิดกล้อง บทสนทนาก็เข้าใจง่าย เดี๋ยวนี้พอมีซีรีส์เกาหลี คนดูยากขึ้น หลอกคนดูไม่ได้ บทต้องสมเหตุสมผล ไม่ใช่มาถึงแม่ผัวลูกสะใภ้ตบกันเลย วิธีการเล่าเรื่องไม่ใช่ยิงตรง ตีหัวเข้าบ้าน เดี๋ยวนี้ต้องซับซ้อน มีเล่าเรื่อง ทำให้ละครถ่ายยากขึ้น งบในการถ่ายละครมากขึ้น ทำให้นักแสดงต้องเล่นให้ลึกขึ้น แล้วก็นักแสดงก็ต้องหน้าตาดีขึ้น การเป็นนักแสดงยากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ได้นานขึ้น เพราะพลาดเมื่อไร มีคนพร้อมขึ้นมาแทนตลอดเวลา” คุณเพชรกล่าว

 

นอกจากนี้ ในฐานะที่อยู่ในวงการบันเทิงมานาน สิ่งที่คุณเพชรอยากเห็นมากที่สุด คือพัฒนาการของวงการบันเทิง ที่นำเสนอภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป และให้ผู้ชมเป็นผู้พิจารณาเอง โดยไม่ต้องชี้นำ

อยากเห็นวงการบันเทิงเอาความจริงต่างๆ ออกมาให้คนดูแล้วให้คนคิดเอง ไม่ใช่ถูกเซ็นเซอร์ด้วยการโมเสกแก้วเหล้า บุหรี่ ปืน มันคือเรื่องจริงในชีวิตประจำวันที่ทุกคนรู้ ทุกคนเห็นน่ะ แล้วประชาชนไม่ได้โง่ เขารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ถ้าคุณปิดช่องทางการนำเสนอ มันก็ไม่ตรงจุด สิ่งที่ได้อาจจะเป็นการตีความผิด ถ้ามันเป็นเรื่องที่รัฐบาลโกงกิน แล้วสุดท้ายติดคุก คุณก็บอกไปเลย มันทำให้คนรู้ว่าทำผิดต้องได้รับผลลัพธ์แบบนี้ แต่นี่ทำเรื่องรัฐบาล ไม่ได้ หาว่าด่ารัฐบาล หรือทำเรื่องพระที่บวชเพื่อเอาเงิน ไม่ได้ เป็นการเหยียดหยามศาสนา”

คุณเพชรมองว่า ที่จริงแล้ว สื่อควรทำหน้าที่สร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่ประชาชนด้วยความบันเทิง แต่ทุกวันนี้สื่อกลับมีข้อจำกัด โดยเฉพาะด้านผลกำไร อีกทั้งยังไม่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากรัฐเท่าที่ควร

“มันไม่เหมือนญี่ปุ่นหรือเกาหลี ที่ใช้สื่อสร้างชาติ ซึ่งเขาก็สื่อให้เห็นจริงๆ ว่า พระเอกกินเหล้าแก้วหนึ่งแล้วจะขับรถ นางเอกบอกว่าไม่ได้ มันเป็นความรับผิดชอบ เมื่อไรก็ตามที่กินเหล้าเมาแล้วขับ จะมีฉากที่โดนตำรวจจับแล้วติดคุกทันที ประเทศไทยดูกันทั้งประเทศ โห... โหดว่ะ แต่บ้านเราไม่รณรงค์ให้ทำอะไรอย่างนี้ มันต้องมีเหตุผล แล้วสุดท้ายคนดูจะเลือกเองว่าอันนี้ถูก อันนี้ผิด เรตติ้งจะเป็นตัวบอกเอง โฆษณาจะเป็นตัวบอกเอง คนไทยไม่ได้โง่ ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเองชอบคิดว่าคนอื่นโง่กว่าตัวเอง ไม่ได้ มันต้องคุมไว้ เดี๋ยวมันจะโน่นจะนี่ กลัวไปหมด” คุณเพชรอธิบาย

 

ดูเหมือนว่าเนื้อหาในการพูดคุยจะเข้าสู่เรื่องการเมืองในที่สุด Sanook ก็อดไม่ได้ที่จะถามคุณเพชรว่า หากได้เป็นรัฐมนตรี เขาจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใด คุณเพชรหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วตอบอย่างร่าเริงว่า

“กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ท่องเที่ยวกันเถอะพวกเรา จัดกีฬากันทุกอาทิตย์ พื้นที่ไหนมีที่ว่าง เช่าเอกชน ทำลานกีฬา คือตอนนี้ทุกคนทำเรื่องภาษีที่ดินเปล่า ถ้าเป็นเรา เราจะออกกฎหมายเลยว่า ที่ดินเปล่าเกิน 2 ไร่ ให้ปลูกหญ้า ให้มีต้นไม้ใหญ่ แล้วเราไม่เก็บภาษี คุณจะเอาไปใช้เมื่อไรก็ได้ เงินลงทุนต้องเป็นของคุณ แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องเปิดให้เป็นสวนหย่อมให้คนเข้าไปใช้ โดยให้ติดไฟส่องสว่าง เป็นกฎหมายบังคับเลย เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้คนได้มีพื้นที่พักผ่อน หน่วยงาน กทม. หรือ อบต. อบจ. นี่แหละ ตั้งงบไปให้เลย ดูแลความสะอาด มีสายตรวจวนไปทุกครึ่งชั่วโมง ถ้าคิดด้วยจิตสาธารณะก็จะทำเพื่อคน แล้วประเทศนี้ก็จะลดความเครียด ลดความเหลื่อมล้ำ”

แม้ว่าการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองจะแพร่หลายอย่างมากในปัจจุบัน แต่ในมุมมองของคุณเพชร คนในวงการบันเทิงยังไม่กล้าพูดเรื่องการเมืองมากนัก เนื่องจากยังกลัว “ทัวร์ลง” จากชาวเน็ต รวมทั้งผลกระทบเรื่องงาน เพราะบางคนเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า ซึ่งหลายแบรนด์ก็ไม่อยากเข้ามายุ่งเรื่องการเมือง

“การพูดเรื่องการเมืองทุกคนก็พูดในระยะที่ระวังตัว หรือคนที่พูดจริงๆ ก็ยังไม่ใช่กลุ่มที่เป็นไอคอนของวงการจริงๆ จะเป็นกลุ่มที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง และผลกระทบจากหน้าที่การงาน ถ้าตีเป็นมูลค่าก็ไม่ได้เยอะมาก แล้วกลุ่มคนที่ติดตามเขาก็ไม่ได้มีหลัก 10 ล้าน 20 ล้าน เพราะฉะนั้น กลุ่มคนที่มีผู้ติดตามเยอะ หรือคนที่เป็นไอคอนของวงการ เขาก็จะอยู่เงียบๆ ดีกว่า”

 

อย่างไรก็ตาม คุณเพชรมองว่า การที่ดาราชั้นนำไม่ออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ ประกอบกับเงื่อนไขในชีวิตที่แตกต่างกัน จึงควรเข้าใจในข้อจำกัดของดารากลุ่มนี้ด้วย

“ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน ทุกคนมีเสรีภาพในการที่จะคิดหรือไม่คิด มีสิทธิที่จะออกมาหรือไม่ออกมา คุณจะบอกว่าคนที่ไม่คิดไม่พูดคือคนผิด คุณรู้เหรอ คุณไปยืนในจุดของเขาเหรอ เขาอาจจะมีสัญญาผูกหลังอยู่ ถ้าเขาออกมา เขาอาจจะโดนถอนสัญญา แล้วต้องโดนค่าปรับ คุณรู้ไหมว่าเขามีภาระที่ต้องดูแลพ่อแม่พี่น้อง คุณก็ต้องเข้าใจด้วยว่า บางคนเสียสละ ตัดนิ้วได้ บางคนตัดขาได้ บางคนตัดเล็บยังไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจ ถ้าคุณสามารถสู้ได้ เริ่มที่ตัวเองก่อน อย่าไปบังคับใคร ค่อยๆ ส่งต่อ ใครปฏิเสธ อย่าไปว่าเขา หลายคน พอถูกปฏิเสธปุ๊บ สร้างศัตรูทันที ทำไมล่ะ แทนที่จะสร้างศัตรู ทำไมไม่สร้างมิตร”

 

คุณเพชรยอมรับว่า ที่ผ่านมาเขาก็ยังคงโดนโจมตีจากผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง แฟนคลับหลายคนกลายเป็นอดีตแฟนคลับ เนื่องจากมุมมองทางการเมืองที่ขัดแย้งกัน

“ทุกวันนี้ก็ยังโดนด่า บอกว่าเสียดายที่เป็นแฟนคลับ ต่อไปนี้จะเลิกติดตามแล้ว ก็เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้ชื่นชอบในทางที่เราชอบ เราก็บอกว่าไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่ติดตามกันมา ไม่มีใครถูกใครผิดนะครับ ผมเปลี่ยนความเชื่อคุณไม่ได้ คุณเปลี่ยนความเชื่อผมไม่ได้ ผมเคารพในความเชื่อคุณ คุณก็ควรเคารพในความเชื่อผม เขาก็อ่าน ขอบคุณค่ะ แล้วก็บล็อก”

“เราไม่โกรธนะ คนที่ชอบฝั่งนั้น คนหลายคนเชื่อว่าประเทศไทยต้องมีเผด็จการ เพราะคนไทยดื้อ คนหลายคนเชื่อว่าทหารต้องออกมา เพราะคนไทยจะฆ่ากัน คนหลายคนเชื่อว่าการที่ทหารออกมามันเลว มันก็อยู่ที่คน คนกินก๋วยเตี๋ยวรสชาติยังไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้น คุณจะให้ความเชื่อของคนเป็นเหมือนกันหมด เป็นไปไม่ได้หรอก เคารพกันและกันดีกว่า อย่าสร้างศัตรู ให้ความรู้ความเข้าใจกันดีกว่า” คุณเพชรทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook