นายกฯ เป็นประธานเซ็นจองซื้อวัคซีนโควิด โวคนไทยเข้าถึงยา-การรักษาได้รวดเร็วทั่วถึง

นายกฯ เป็นประธานเซ็นจองซื้อวัคซีนโควิด โวคนไทยเข้าถึงยา-การรักษาได้รวดเร็วทั่วถึง

นายกฯ เป็นประธานเซ็นจองซื้อวัคซีนโควิด โวคนไทยเข้าถึงยา-การรักษาได้รวดเร็วทั่วถึง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายกฯ เป็นประธานในพิธีลงนามจองซื้อวัคซีนโควิด-19 พร้อมกับย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่าคนไทยจะต้องเข้าถึงยา เข้าถึงการรักษา ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง

วันนี้ (27 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด–19 โดยการจองล่วงหน้า ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด (AstraZeneca) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน

โดยการจองล่วงหน้าและสัญญาการจัดซื้อวัคซีน จำนวน 26 ล้านโดส ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับประชาชนไทย ด้วยการจองซื้อล่วงหน้า กับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด ในวงเงิน 6,049,723,117 บาท โดยให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ จัดทำสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า รวมถึงอนุมัติงบประมาณ 2,379,430,600 บาท เพื่อจัดหาวัคซีนล่วงหน้าสำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 13,000,000 คน เพื่อลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต ค่าใช้จ่ายในการรักษา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นวิกฤติการณ์ที่สร้างความเสียหายอย่างมาก ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีในระดับหนึ่งด้วยความร่วมมือของทุกคน แต่ทุกคนก็ยังต้องระมัดระวัง และไม่ประมาทต่อไป รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญในการแพร่ระบาด พร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนให้ช่วยผลักดันโครงการจัดหาวัคซีนดังกล่าว ซึ่งคาดว่าประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้ในปี 2564 โดย ประเทศไทยจะพึ่งตนเองให้ได้ในเรื่องวัคซีน และต้องมีวัคซีนอย่างเพียงพอ

อย่างไรก็ตาม การวิจัยวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า นั้น มีผลการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีประสิทธิผลเกินข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กำหนดมาตรฐานการรับรองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ต้องมีประสิทธิผลไม่ต่ำกว่า 50% ซึ่งการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบแรก พบว่าประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 สูงถึง 90% ส่วนแบบที่สอง พบว่า มีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 ที่ 62% ค่าเฉลี่ยประสิทธิผลโดยรวมของทั้ง 2 แบบ อยู่ที่ 70.4% และวัคซีนมีความปลอดภัยสูงด้วย

ขอทุกคนช่วยกันทำให้ทุกอย่างสำเร็จไปด้วยดี

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังการเป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีน COVID–19 ว่า เป็นการลงนามร่วมกันระหว่างไทยกับประเทศผู้ผลิตและค้นคว้าวิจัยโรคโควิด-19 กับทางมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นสัญญาการจองซื้อ โดยบริษัท AstraZeneca และบริษัทคู่สัญญา ถือว่ามีความก้าวหน้าในระดับที่สูง และมีแนวโน้มว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ภายในต้นปีหน้า สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องเตรียมความพร้อมภายในประเทศ ทั้งการนำเข้าสู่บรรจุภัณฑ์ การขนย้ายวัคซีน การเก็บรักษา

ในส่วนของบริษัทสยามไบโอไซน์ของไทย ซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกิดขึ้นจากพระราโชบายว่า จะต้องมีบริษัทที่ผลิตยาและวัคซีนให้กับคนไทย เพื่อให้เกิดความทั่วถึง ภายในประเทศ ถือเป็นสายพระเนตรอันยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ที่ได้ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พร้อมกับพระราชทานพระราชานุญาตให้บริษัทสยามไบโอไซน์ เป็นบริษัทที่ทำการผลิตและถ่ายทอดเทคโนโลยี

โดยนายกรัฐมนตรียังระบุอีกว่า ในวันข้างหน้าตนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ถือได้ว่าการลงนามในวันนี้เป็นความพร้อมของประเทศไทย ตนขอให้คนไทยทุกคนได้ช่วยกัน ทำให้ทุกอย่างนั้นสำเร็จไปได้ด้วยดี

ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ โพสต์ภาพและข้อความลงในสื่อโซเชียลมีเดีย โดยระบุว่า รู้สึกดีใจที่คนไทยจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นอันดับแรกๆ ของโลกในปีหน้า วันนี้ได้มีการลงนามสัญญาจัดหาวัคซีน COVID-19 โดยได้ทำการจองล่วงหน้ากับบริษัท AstraZeneca ไปแล้ว ขอให้พวกเราทุกคนมั่นใจได้ว่า คนไทยจะต้องเข้าถึงยา เข้าถึงการรักษา ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง รัฐบาลยังคงพร้อมจะสนับสนุนส่งเสริมอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนาอันเกี่ยวกับสุขภาพ ขอให้พวกเราทุกคนยังคงรักษาวินัยดูแลตัวเองและคนใกล้ชิดเหมือนเดิม คนไทยทุกคนยังคงต้องร่วมมือกันป้องกันสังคมของเราให้ปลอดภัยอย่างต่อเนื่องนะครับ ขอบคุณทุกคน ทุกหน่วยงานที่ร่วมกันทำเพื่อให้ประเทศไทยมีวันนี้ #ทีมประเทศไทย #รวมไทยสร้างชาติ #วัคซีนโควิด19 #AstraZeneca

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook