ย้อนเรื่อง "นวราตรี" เทศกาลฉลองฮินดู ที่เผลอไปเอี่ยวการเลือกตั้งสหรัฐ จนทรัมป์ฉุน!

ย้อนเรื่อง "นวราตรี" เทศกาลฉลองฮินดู ที่เผลอไปเอี่ยวการเลือกตั้งสหรัฐ จนทรัมป์ฉุน!

ย้อนเรื่อง "นวราตรี" เทศกาลฉลองฮินดู ที่เผลอไปเอี่ยวการเลือกตั้งสหรัฐ จนทรัมป์ฉุน!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"นวราตรี" มาจากคำว่า "นว" แปลว่า เก้า (9) กับ คำว่า "ราตรี" แปลว่า กลางคืน ดังนั้น นวราตรีก็แปลว่า "เก้าคืน" ซึ่งหมายถึง การจัดงานบูชาพระพระแม่อุมาทั้งเก้าปาง ในเวลาเก้าคืนติดต่อกัน มีการจัดเป็นพิธีกรรมที่มโหฬารมากทุกปีตามปฏิทินฮินดู นวราตรีปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม ถึงวันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม

ชาวฮินดูซึ่งโดยมากเป็นชาวอินเดียโดยทั่วไปนับถือสามมหาเทพเป็นหลัก คือ พระพรหม พระวิษณุ (พระนารายณ์) และพระศิวะ (พระอิศวร) แต่เชื่อว่าคนธรรมดาจะเข้าถึงเพื่ออ้อนวอนขอพรจากพระมหาเทพทั้งสามนั้นมันแสนยาก จึงควรเข้าทางหลังบ้านคือทางชายาของมหาเทพทั้งสามนั่นเอง

เหตุนี้ทำให้เกิดความเชื่อเป็นนิกายศักติขึ้นพวกที่นับถือพระศิวะก็ยกพระอุมาขึ้นเป็นศักติ พวกนับถือพระวิษณุก็ยกพระลักษมีเป็นศักติ พวกนับถือพระพรหมก็ยกพระสุรัสวดีขึ้นเป็นศักติ แต่โดยปกติ คำว่า "ศักติ" เล็งเอาเฉพาะพระอุมา ชายาพระศิวะเท่านั้น

พระแม่อุมาเทวีถือเป็นเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความรัก การอุทิศตน ตลอดจนพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ถือกันว่า พระนางเป็นด้านอ่อนโยน แต่พระแม่อุมาเทวียังแสดงพระองค์เป็นหลายด้าน เรียกว่า "ปาง" แต่ละปางเป็นที่รู้จักด้วยหลายชื่อหลายเรื่องราว โดยปางที่สำคัญที่สุดมี 2 ปาง คือ ปางพระแม่ทุรคา (ทุรกา) และ ปางพระแม่กาลี (เจ้าแม่กาลี) สำหรับพระลักษมี เทวีแห่งความมั่งคั่งรุ่งเรือง และพระสรัสวดี เทวีแห่งความรู้ ประกอบกันเป็นองค์สามของเทวีฮินดู เรียกว่า ตรีเทวี

เทศกาลนวราตรีก็คือการเฉลิมฉลองศักติของตรีเทวีทั้งสามโดยเน้นพระอุมาเป็นหลักนั่นเอง กล่าวคือ เทศกาลสำคัญแห่งการบูชาพระอุมาเทวี 

ในประเทศอินเดียจะมีการประกอบพิธีบูชาพระมาเทวีในอวตารต่างๆ อย่างยิ่งใหญ่ วันละ 1 ปาง เรียงตามลำดับคือ มหากาลี, ทุรคา หรือมหิษาสุรมรรทินี, จามุณฑา, กาลี, นันทา, รักธาฮันตี , สัคคมพารี, ทุรคา และลัคภรมารี เพื่อระลึกถึงการประหารอสูรที่สำคัญต่างๆ ระหว่างนี้ผู้บูชาจะต้องถือพรต กินอาหารมังสวิรัติ บางท้องที่ต้องถือศีลอด ส่วนประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศต่าง ๆในโลกที่มีชาวอินเดียผู้นับถือศาสนาฮินดู

เปรียบคามาลาเป็นพระแม่อุมา ปราบมหิษสูรทรัมป์

ครับ! การเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ หนึ่งในสี่คนสำคัญในการชิงชัยครั้งนี้ คือ วุฒิสมาชิกหญิงผิวสีวัย 45 ปีที่ชื่อ นางคามาลา แฮร์ริส แห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นผู้สมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต เป็นผู้ที่มีบิดาเป็นผู้อพยพจากเกาะจาเมกามาอยู่ที่สหรัฐอเมริกากับมารดาผู้เป็นชาวทมิฬอินเดียผู้อพยพมาจากเมืองมัดราส (เชนไน) มาตั้งหลักแหล่งที่สหรัฐอเมริกาเช่นกัน

มารดาของวุฒิสมาชิกคามาลา แฮริสมีความผูกพันกับครอบครัวที่อินเดียเป็นอย่างมากจะเห็นได้จากการตั้งชื่อลูกสาวทั้ง 2 คนเป็นภาษาทมิฬคือคามาราหรือกมลาซึ่งแปลว่าดอกบัวหรือพระนางลักษมีชายาของพระนารายณ์ที่เกิดในดอกบัว และลูกสาวคนสุดท้องชื่อมายาซึ่งเป็นชื่อพระมารดาของเจ้าชายสิทธัตถะ (ทางฮินดูเขาถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์)

ดังนั้น เมื่อหลานสาวของวุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส ผู้เป็นลูกของน้องสาวชื่อ มีนา แฮริส โพสต์รูปของคามาลา แฮริส เป็นปางหนึ่งของพระอุมาคือพระทุรคาขี่สิงโตที่มีหน้าเป็น โจ ไบเดน กำลังปราบมหิษาสูรซึ่งเป็นรูปของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งถือว่าเป็นปางที่สำคัญที่สุดปางหนึ่งที่นำมาเฉลิมฉลองในเทศกาลนวราตรี ก็กระแสไวรัลในโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก

คนงานในอินเดียกำลังเก็บงานขั้นตอนสุดท้ายของรูปปั้นพระแม่ทุรคาในโรงงานที่เมืองไฮเดอราบาด ทางใต้ของอินเดียSTR / AFPตั้งใจทำ: คนงานในอินเดียกำลังเก็บงานขั้นตอนสุดท้ายของรูปปั้นพระแม่ทุรคาในโรงงานที่เมืองไฮเดอราบาด ทางใต้ของอินเดีย

ไม่ใช่แค่นั้น รูปดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาโจมตีวุฒิสมาชิกคามาลา แฮริสอย่างรุนแรง ว่า หากโจ ไบเดน ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้เขาจะเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดหรือแก่ที่สุดกว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทั้งหมดในประวัติศาสตร์คือมีอายุถึง 78 ปี ซึ่งไม่มีทางที่จะลงสมัตรเป็นประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 ได้อย่างแน่นอน

การที่เลือกคามาลาเป็นรองประธานาธิบดีก็คือการปูทางให้คามาลามีโอกาสดีที่สุดที่จะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเข้าชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีอีก 4 ปี ข้างหน้านั่นเอง ร้ายกว่านั้นหากโจ ไบเดนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานาธิบดีได้หรือตายไปในระหว่างการดำรงตำแหน่งอยู่ คามาลา แฮริส ซึ่งเป็นสตรีชาวอินเดียก็จะได้เป็นประธานาธิบดีซึ่งจะน่าวิตกกังวลมากสำหรับชาวอเมริกันผิวขาวทั้งปวงนั่นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook