ดราม่าพ่อแม่ลูกป่วยโควิด-19 เชียงใหม่ ยันไม่ได้ปกปิดไทม์ไลน์ ขอชาวเน็ตหยุดปรักปรำ

ดราม่าพ่อแม่ลูกป่วยโควิด-19 เชียงใหม่ ยันไม่ได้ปกปิดไทม์ไลน์ ขอชาวเน็ตหยุดปรักปรำ

ดราม่าพ่อแม่ลูกป่วยโควิด-19 เชียงใหม่ ยันไม่ได้ปกปิดไทม์ไลน์ ขอชาวเน็ตหยุดปรักปรำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากที่ช่วงค่ำเมื่อวานนี้ (14 ม.ค.64) จังหวัดเชียงใหม่แถลงสถานการณโควิดว่า จังหวัดเชียงใหม่ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มเติมเป็นวันที่ 2 ขณะที่สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ นำผู้อำนวยการโรงพยาบาล 4 แห่ง ซึ่งเป็นสถานที่รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ของจังหวัดเชียงใหม่ แถลงผลการรักษา ซึ่งขณะนี้มีผู้ป่วยรับการรักษาตัวอยู่รวม 22 คน ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี แต่ทีมสอบสวนโรคก็ยังทำงานกันอย่างหนักทั้งการคัดกรองเชิงรุกจากไทม์ไลน์กลุ่มเสี่ยงนำผู้ที่อยู่ในความเสี่ยงเข้าทำการตรวจ และกักตัว

ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างหนักก็พบว่าเกิดกระแสดราม่าในโลกออนไลน์ หลังพบว่าผู้ป่วยรายที่ 65 (CM65) ซึ่งเป็นหญิงสาววัย 18 ปี ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิดและมีการแถลงข่าวยืนยันเมื่อวันที่ 11 ม.ค.64 ซึ่งมีภูมิลำเนาอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เบื้องต้นให้ข้อมูลว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับร้านที่พบการระบาด แต่ไทม์ไลน์ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ในวันแรก ต่อมาวันที่ 13 ม.ค.64 เจ้าหน้าที่ได้เปิดเผยไทม์ไลน์ของสาววัย 18 ปี พร้อมผู้ติดติดเชื้อโควิดเพิ่มเติมคือ แม่วัย 50 ปี (CM68) และพ่อวัย 67 ปี (CM69) แต่ไทม์ไลน์ที่ทาง สสจ.แจ้ง ไม่มีรายละเอียดว่าเดินทางไปไหนมาบ้าง

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง อ้างว่าตนเองเป็นผู้ติดเชื้อโควิดรายที่ 65 ได้ออกมาโพสต์ข้อความชี้แจงเรื่องของไทม์ไลน์ และยืนยันเรื่องราวของตนเองทั้งจุดเสี่ยง การกักตัว รวมไปถึงเรื่องไทม์ไลน์ที่ยืนยันว่าไม่ได้ปกปิด แต่บางจุดที่กระทบกับครอบครัวก็ไม่อยากให้เผยแพร่

"วันนี้เราจะมาโพสต์ชี้แจงกรณีการติดเชื้อ COVID-19 ของเราเองค่ะ เราเป็นผู้ป่วยรายที่ 65 ของเชียงใหม่ หรือ CM65

จากที่มีการเปิดเผยไทม์ไลน์ของเราและครอบครัวไปในเพจ จังหวัดเชียงใหม่ CM108.com แล้วมีคอมเมนท์ต่างๆ นานา แสดงความคิดเห็น ตั้งข้อสงสัย รวมทั้งมีการวิจารณ์ตัวเราและครอบครัวในลักษณะเชิงลบนะคะ

กรณีแรกนะคะ เราจะขอชี้แจงเรื่องการเดินทางกลับมาจากกรุงเทพมหานคร เรากลับมาตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 ค่ะ ซึ่งขณะนั้น กรุงเทพยังไม่ได้มีการระบาดของโควิด และยังไม่พบผู้ติดเชื้อใด ๆ ทั้งสิ้น เรากลับมาเชียงใหม่เพราะปิดเทอมจากมหาวิทยาลัยค่ะ มาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของตนเอง เราไม่มีอาการใด ๆ ทั้งสิ้นค่ะ และเราไม่ได้รับเชื้อจากกรุงเทพแน่นอนค่ะ

กรณีที่ 2 เราไม่ได้ไปสถานบันเทิง สถานที่เสี่ยง และไม่มีการปกปิดข้อมูลเหมือนที่คอมเมนท์หลายๆ ท่านได้กล่าวไว้ เนื่องจากตัวเราเป็นภูมิแพ้รุนแรงค่ะ ซึ่งเรื่องนี้เราก็แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและทางรพ.ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เราแพ้เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด เราไม่ดื่มแอลกอฮอล์ค่ะ ถ้าเราดื่มจะมีอาการหายใจลำบาก กรุณาเลิกปรักปรำและยัดเยียดให้ดิฉันไปสถานบันเทิงนะคะ

กรณีที่ 3 ที่หลายคนโวยวายกันเป็นอย่างมากว่าทำไมไทม์ไลน์สั้น แต่ใช้เวลาสอบสวนนานมาก เนื่องจากตัวดิฉันและครอบครัวไม่ได้ไปสถานที่เสี่ยงและสัมผัสผู้ป่วยโควิดมาก่อน จึงทำให้การสอบสวนมีความยากขึ้น เพื่อหาต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อในครั้งนี้ค่ะ ซึ่งทางสาธารณสุขก็ได้มีการสอบสวนไทม์ไลน์ของดิฉันตั้งแต่วันที่ 19 เป็นต้นไปจนถึงวันที่พบเชื้อแล้วค่ะ และคาดว่าได้รับเชื้อมาในช่วงปลายเดือนธันวาคม

ไทม์ไลน์ที่มีการเปิดเผยเป็นความจริงทุกประการค่ะ ดิฉันได้ให้ข้อมูลทั้งหมดไปแก่เจ้าหน้าที่ และเมื่อดิฉันเริ่มมีอาการป่วยตั้งแต่วันที่ 2 มกราคา 2564 ดิฉันเริ่มมีอาการไอเล็กน้อย ต่อมาวันที่ 5 ดิฉันได้มีอาการคัดจมูก มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ปวดโพรงจมูกและฟันกรามบน จึงมีความสงสัยในเรื่องของโรคไซนัสอักเสบเฉียบพลัน วันที่ 6 ดิฉันจึงเดินทางไปรพ.เพื่อรับการตรวจวินิฉัยโรค และเมื่อเอกซเรย์โพรงจมูก ผลจึงออกมาว่าดิฉันไม่ได้เป็นไซนัส คุณหมอได้มีการจัดยาตามอาการ และยังไม่ส่งตรวจโควิด เนื่องจากไม่มีประวัติสัมผัสสถานที่เสี่ยงเลย หลังจากนั้นดิฉันก็มีอาการจมูกไม่ได้กลิ่นมาตลอด มีไข้ และถ่ายเหลว อาการไม่ดีขึ้นจากการทานยาจึงเข้าไปตรวจโควิดด้วยตนเองในวันที่ 9 และวันที่ 10 จึงพบเชื้อและได้เข้ารับการรักษาที่ รพ.นครพิงค์

กรณีสุดท้ายค่ะ สำหรับหลายท่านที่ต้องการให้เปิดเผยข้อมูลเรื่องสถานที่ต่างๆ ให้ชัดเจน เช่น การไปกินเลี้ยงปีใหม่ที่บ้านญาติของตนเอง ดิฉันอยากให้ทุกท่านทราบนะคะว่ามันคือสถานที่ส่วนบุคคลค่ะ เราได้บอกเบื้องต้นคือหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอไปแล้วค่ะ รวมทั้งญาติทุกคนมีผลตรวจโควิดเป็นลบทุกคนค่ะ กรุณางดแสดงความรังเกียจ ถ้อยคำเกลียดชังและกรุณาอ่านให้ถี่ถ้วนก่อนจะแสดงความคิดเห็นด้วยนะคะ และดิฉันอยากให้ท่านลองนึกกลับกันดูนะคะ ว่าถ้าเป็นท่านที่อยู่ในจุดนี้ แล้วมีผู้ออกมาเรียกร้อง โวยวายให้เปิดเผยสถานที่อย่างชัดเจน คุณลองนึกถึงผลกระทบของผู้อื่นบ้างนะคะ การทำงาน การประกอบอาชีพ การใช้ชีวิตประจำวันต่าง ๆ อยากให้ลองนึกถึงใจผู้อื่นบ้างค่ะ

และจากที่หลาย ๆ ท่านได้สงสัยว่าดิฉันไม่ได้ไปไหนตลอดระยะเวลาที่มีอาการป่วยเลยจริงหรือ จริงค่ะ ดิฉันเริ่มกักตัวอยู่บ้านตั้งแต่วันที่ 2 ที่เริ่มมีอาการไอ ดิฉันคิดไว้ตลอดว่า หากเราได้รับเชื้อโควิดจริง ๆ เราจะไม่ออกไปไหนเพื่อแพร่ให้ผู้อื่นติดเพิ่มเด็ดขาด ดิฉันใช้วิธีสั่งอาหารจาก Grab และ Food Panda รวมทั้งคุณแม่เป็นคนทำอาหารให้ทานตลอดระยะเวลาที่ไม่สบายค่ะ

ซึ่งภายหลังที่มีการเปิดเผยไทม์ไลน์ของดิฉันและครอบครัวออกมา ได้มีหลายท่านวิจารณ์ในลักษณะเชิงลบ ไม่สุภาพ ว่ากล่าว ทำให้เสียหาย แสดงความคิดเห็นโดยไม่เป็นความจริง และมีการโพสต์รูปภาพที่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นรูปภาพจากทางการน่าน ทำให้ดิฉันและครอบครัวได้รับผลกระทบสำคัญอย่างมาก

โดยเบื้องต้นดิฉันได้เก็บข้อมูลของผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของครอบครัวดิฉันทั้งหมดแล้วค่ะ หากมีผู้ใดยังกระทำและมีการเผยแพร่ในลักษณะนี้ต่อไป ดิฉันจะมีการดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างชัดเจนค่ะ ดังนั้นหวังว่าโพสต์นี้จะไขข้อสงสัยของหลายๆ ท่านได้นะคะ ขอบคุณค่ะ"

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ สสจ.เชียงใหม่ พุ่งเป้าของการติดเชื้อในครอบครัวนี้ว่า อาจจะเกิดจากการที่แม่วัย 50 ปี ไปรับเชื้อมาแล้วแพร่ต่อให้คนในครอบครัว เพราะหญิงสาววัย 18 กลับจากกรุงเทพเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ซึ่งในช่วงนั้นยังไม่เกิดการระบาดในพื้นที่กรุงเทพ แต่พบว่าไทม์ไลน์ของคุณแม่วัย 50 ในวันที่ 27 ธันวาคม ไปร่วมงานแต่งงานที่ร้านเรือนแพร สาขา 1 ก่อนที่จะไปเที่ยวต่อที่ร้านอาหารสถานบันเทิงชื่อ ไวท์เฮาส์ ซึ่งทีมสอบสวนโรคก็เร่งติดตามหากลุ่มเสี่ยงทั้งงานแต่ง และในร้านไวท์เฮ้าส์ มาเพื่อหาต้นตอของการแพร่โรคในครอบครัวนี้ให้ได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook