เจออีกราย! แม่เฒ่า 89 ชาวบุรีรัมย์ ถูกเรียกเบี้ยคนชราคืนย้อนหลัง 1.2 แสนบาท

เจออีกราย! แม่เฒ่า 89 ชาวบุรีรัมย์ ถูกเรียกเบี้ยคนชราคืนย้อนหลัง 1.2 แสนบาท

เจออีกราย! แม่เฒ่า 89 ชาวบุรีรัมย์ ถูกเรียกเบี้ยคนชราคืนย้อนหลัง 1.2 แสนบาท
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณี นางบวน โล่ห์สุวรรณ อายุ 89 ปี ชาวตำบลเจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือ หลังได้รับหนังสือจากเจ้าหน้าที่ อบต. ให้ไปชำระเบี้ยผู้สูงอายุคืนย้อนหลังเป็นเวลา 10 ปี รวมเป็นเงิน 84,400 บาท พร้อมดอกเบี้ย เนื่องจากตรวจสอบในระบบแล้วพบว่ายายบวน ได้รับเงินบำนาญพิเศษกรณีที่เป็นทายาทของ จ.ส.อ.จักราวุทธ โล่ห์สุวรรณ ลูกชาย ซึ่งเป็นทหารเสียชีวิตจากเหตุการณ์คลังแสงระเบิดที่นครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544 แต่ได้รับเงินเบี้ยผู้สูงอายุอีกซึ่งเป็นการรับซ้ำซ้อน ทาง อบต.จึงต้องเรียกเงินคืนตามระเบียบ ซึ่งขณะนี้ทางยายและลูกหลานก็ยืนยันว่าจะหาเงินไปชำระคืนแต่ขอผ่อนชำระ 20 เดือนโดยไม่มีดอกเบี้ย แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากทาง อบต.ว่าจะสามารถยืดระยะเวลาได้หรือไม่ 

แต่ล่าสุดกลับพบเคสลักษณะคล้ายกับคุณยายบวน โผล่อีกรายที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบว่าผู้ที่ถูกเรียกเบี้ยผู้สูงอายุคืน คือ นางทิม สังข์สนิท อายุ 89 ปี อยู่ตำบลลำไทรโยง อ.นางรอง ซึ่งจากการสอบถามนางประมวล สังข์สนิท อายุ 49 ปีลูกสาวคนเล็ก ก็ให้ข้อมูลว่า นางทิม ผู้เป็นแม่มีลูกทั้งหมด 9 คน กระทั่งเมื่อประมาณปี 2535 ร.ต.อ.สนาม สังข์สนิท ลูกชายคนที่ 6 ซึ่งรับราชการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ อ.อุ้งผาง จ.ตาก ทางต้นสังกัดได้แจ้งกับทางครอบครัวว่า ได้เกิดเหตุการณ์กองกำลังกระเหรี่ยงบุกโจมตีฐานมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตหลายนาย    แต่หาศพของลูกชายซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ฐานดังกล่าวไม่เจอแต่ จึงกลายเป็นบุคคลหายสาบสูญ และทางต้นสังกัดจึงมอบเงินช่วยเหลือให้กับครอบครัวก้อนแรก 40,000 บาทเมื่อปี 2538 พร้อมทำเรื่องขอรับเงินบำนาญพิเศษให้กับพ่อและแม่ โดยช่วงแรกได้รับเงินบำนาญพิเศษเมื่อประมาณปี 2540 จำนวน 1,800 บาท หลังจากนั้นก็ปรับเพิ่มเป็นเดือนละ 5,000 , 6,000 , 9,000 บาท และล่าสุดเมื่อปี 2562 ได้เพิ่มเป็นเดือนละ 10,000 บาทจนถึงปัจจุบัน 

ต่อมาเมื่อปี 2547 มีสมาชิกสภา อบต. มาขอเอกสารคนชราในหมู่บ้านเพื่อไปทำเรื่องขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ อบต. รวมถึงแม่ของตนเองด้วย    แต่ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่มาซักถามข้อมูลหรือแจ้งรายละเอียดอะไรเลย กระทั่งเดือน ธ.ค. 2547 แม่ก็เริ่มได้รับเบี้ยผู้สูงอายุเดือนละ 500 บาท จนถึงเดือน ก.ย.2554 จากนั้นปี 2555 ถึงเดือน ก.พ.2563 ได้รับเดือนละ 800 บาท ก็ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่มาแจ้งอะไร กระทั่งวันที่ 23 มิ.ย.2563 ได้รับหนังสือจากทาง อบต. แจ้งว่าจะเรียกเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืนจากนางทิม ผู้เป็นแม่ ที่ได้รับไปตลอดระยะเวลา 16 ปี รวมเป็นเงิน 121,800 บาท เนื่องจากเป็นผู้ได้รับบำนาญจากกรมบัญชีกลาง ถือเป็นการรับเงินจากรัฐซ้ำซ้อน 

นางประมวล บอกว่า หลังได้รับหนังสือดังกล่าวทั้งแม่และตนเอง ตกใจมาก ก็เลยปรึกษาพี่สาว และพี่ชาย ก็เห็นร่วมกันว่าจะเอาเงินที่แม่ได้รับเงินบำนาญพิเศษล่าสุดเดือนละ 10,000 บาท ไปผ่อนชำระให้กับทาง อบต. เพราะกลัวจะถูกดำเนินคดี โดยได้ไปทำบันทึกตกลงที่ อบต. ตอนแรกขอผ่อนชำระเดือนละ 2,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าชำระ 2,000 จะใช้เวลาหลายปีกว่าจะหมดจึงแนะนำให้ชำระเดือนละ 5,000 บาท จึงยอมชำระเดือนละ 5,000 บาทเป็นเวลา 24 เดือนตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ โดยเอาจากเงินบำนาญของแม่ที่ได้รับมาจ่ายตั้งแต่เดือน ก.ค.2563 จนถึงปัจจุบันรวม 6 เดือนแล้ว แต่ก็อยากถามว่าความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่แม่ทำไมจะต้องมารับภาระตรงนี้ หากเป็นไปได้ก็อยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบและช่วยเหลือด้วย เพราะเงินบำนาญที่เหลือ 5,000 แม่ก็ต้องดูแลเลี้ยงหลานกำพร้าอีกถึง 4 คน

ขณะที่นางนัฐฐา โยธาพล ปลัด อบต.ลำไทรโยง กล่าวว่า สาเหตุที่เพิ่งมีหนังสือไปเรียกเก็บเบี้ยผู้สูงอายุจากยายทิม คืน เนื่องจากเพิ่งมีการลิงค์ระบบข้อมูลกับกรมบัญชีกลางเมื่อต้นปี 2563 ซึ่งทาง อบต.เองก็จะเป็นต้องทำตามระเบียบ เพราะเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินหลวง

แต่ทาง อบต.ก็เห็นใจคุณยายและครอบครัว จึงได้เรียกมาพูดคุยตกลงกันที่ อบต.ก่อนเบื้องต้นว่าคุณยายสามารถชำระได้เท่าไหร่ จนได้ข้อสรุปว่าจะชำระเดือนละ 5,000 บาทเป็นเวลา 24 เดือนจึงมีการทำบันทึกตกลงคืนเบี้ยยังชีพดังกล่าว โดยที่ทาง อบต.ไม่ได้เรียกเก็บดอกเบี้ยจากยายแม้แต่บาทเดียว กรณีที่เกิดขึ้นก็น่าจะเกิดจากระบบข้อมูลที่ไม่ได้เชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ก็จะตรวจสอบให้ละเอียดมากขึ้น ก็ขอให้ประชาชนให้ข้อมูลที่เป็นจริงด้วยเช่นกัน เพื่อจะได้ไม่เกินปัญหาตามมาในภายหลัง

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook