หน่วยข่าวกรองสหรัฐ เผย มกุฎราชกุมารซาอุฯ เป็นผู้อนุมัติปฏิบัติการฆ่าโหด "คาช็อกกี"

หน่วยข่าวกรองสหรัฐ เผย มกุฎราชกุมารซาอุฯ เป็นผู้อนุมัติปฏิบัติการฆ่าโหด "คาช็อกกี"

หน่วยข่าวกรองสหรัฐ เผย มกุฎราชกุมารซาอุฯ เป็นผู้อนุมัติปฏิบัติการฆ่าโหด "คาช็อกกี"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รายงานโดยหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ ที่ได้การเผยแพร่ออกมาในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ยืนยันว่า มกุฎราชกุมารซาอุดิอาระเบีย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (Mohammed bin Salman) คือผู้อยู่เบื้องหลังการสังหาร นายจามาล คาช็อกกี (Jamal Khashoggi) นักข่าวของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เมื่อปี ค.ศ. 2018

คาช็อกกี ชาวซาอุฯ ซึ่งมีสถานะเป็นผู้เข้ามามีถิ่นที่อยู่ถาวรชอบด้วยกฎหมายของสหรัฐฯ และมีผลงานเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ เดอะ วอชิงตัน โพสต์ นั้น เป็นผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของ มกุฎราชกุมารซาอุฯ ที่มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า MbS อย่างรุนแรงเสมอ

จนกระทั่งถูกสังหารและศพถูกหั่นเป็นชิ้นๆ โดยฝีมือของกลุ่มปฏิบัติการที่มีความเชื่อมโยงกับตัว มกุฎราชกุมารซาอุ ที่สถานกงสุลของซาอุฯ ในนครอิสตันบูล เมื่อปีเกือบ 3 ปีก่อน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกรุงริยาร์ด เฝ้าปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวมาโดยตลอด

แต่สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุในรายงานที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ของตนว่า “เราประเมินว่า มกุฎราชกุมารซาอุดิอาระเบีย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดิอาระเบีย อนุมัติปฏิบัติการในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เพื่อจับตัว หรือสังหาร จามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าวชาวซาอุฯ”

รายงานยังระบุด้วยว่า “เราทำการประเมินดังกล่าวโดยอ้างอิงถึงการที่มกุฎราชกุมารทรงมีอำนาจควบคุมกระบวนการตัดสินใจทั้งหมดในราชอาณาจักรแห่งนี้ และการที่พระองค์มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับที่ปรึกษาหลักและบรรดาสมาชิกทีมรักษาความปลอดภัยของพระองค์เอง รวมทั้งการที่พระองค์ให้การสนับสนุนการใช้มาตรการรุนแรงเพื่อปิดปากผู้ที่เห็นต่างซึ่งอยู่ต่างประเทศ ที่รวมถึง คาชอกกี ด้วย”

ทั้งนี้ การที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน อนุมัติให้รายงานฉบับดังกล่าวเปิดเผยสู่สาธารณะได้ เป็นการแสดงจุดยืนตรงกันข้ามกับอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ปฏิเสธจะเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ทั้งยังเป็นการสะท้อนความเต็มใจของสหรัฐฯ ที่จะท้าทายซาอุดิอาระเบีย ในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ประเด็นสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง เรื่องสงครามในเยเมน

รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้วางแผนการเปิดเผยรายงานออกมาครั้งนี้ไว้อย่างดี ด้วยการให้ ประธานาธิบดีไบเดน โทรศัพท์พูดคุยกับกษัตริย์ซัลมาน พระราชบิดาของมกุฎราชกุมารผู้ทรงอิทธิพล เพื่อยืนยันความเป็นพันธมิตรระหว่างกันที่ยืนยาวมานับทศวรรษ และสัญญาที่จะเดินหน้าร่วมมือกันในหลายๆ ด้านต่อไป ซึ่งเป็นพยายามประคองความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และ ซาอุฯ ไว้ไม่ให้เสียหาย

ขณะที่รัฐบาลกรุงวอชิงตันมุ่งพลิกฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำไว้กับอิหร่านเมื่อปี ค.ศ. 2015 และเดินหน้าหาทางแก้ปัญหาต่างๆ เช่น การเคลื่อนไหวของกลุ่มหัวรุนแรงชาวมุสลิม รวมทั้งการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างชาติอาหรับและอิสราเอลให้รุดหน้ายิ่งขึ้น

ประธานาธิบดีไบเดน ได้รับปากไว้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วว่า ตนจะทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับซาอุฯ สืบเนื่องจากการฆาตกรรมนายคาช็อกกี และตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ได้สั่งระงับการขายอาวุธให้แก่กองทัพซาอุฯ ที่อาจนำไปใช้ในเยเมนไปแล้วด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook