ประยุทธ์ ยืนยันคุยกับไฟเซอร์จริง! มีลุ้นส่งวัคซีนโควิดมาไทย ก.ค. ถึงสิ้นปี 5-10 ล้านโดส

ประยุทธ์ ยืนยันคุยกับไฟเซอร์จริง! มีลุ้นส่งวัคซีนโควิดมาไทย ก.ค. ถึงสิ้นปี 5-10 ล้านโดส

ประยุทธ์ ยืนยันคุยกับไฟเซอร์จริง! มีลุ้นส่งวัคซีนโควิดมาไทย ก.ค. ถึงสิ้นปี 5-10 ล้านโดส
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายกฯ ประยุทธ์ ยืนยันแผนการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิด ไม่ได้ล่าช้า ที่ผ่านมาเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก เผยสถาบันวัคซีนฯ กำลังเจรจากับ "ไฟเซอร์" มีลุ้นส่งมาไทยตั้งแต่ ก.ค.-สิ้นปี จำนวน 5-10 ล้านโดส

วันนี้ (20 เม.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ โดยในช่วงหนึ่งเป็นการชี้แจงถึงกรณีที่รัฐบาลถูกโจมตีเรื่องไม่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 โดยยืนยันว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการมาโดยตลอด ไม่เคยปิดกั้นภาคเอกชนในการจัดหาวัคซีนทางเลือก และได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อหารือกับโรงพยาบาลเอกชนและผู้เชี่ยวชาญ ในการหาข้อมูลความรู้ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ได้วัคซีนทางเลือกเข้ามาโดยเร็วที่สุด เนื่องจากการนำเข้าของเอกชนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทางผู้ผลิตวัคซีนของต่างประเทศก็จะต้องขออนุญาตรัฐบาลเช่นกัน

พร้อมกับยืนยันว่า รัฐบาลไม่ผูกขาดการจัดซื้อวัคซีน แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างปลอดภัย ขณะที่ของไทยก็ดำเนินการติดต่อจัดหาวัคซีนแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล ส่วนการจัดหาวัคซีนของไทยในระยะแรกนั้น เป็นการสั่งโดยประเมินจากสถานการณ์ที่ไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี จึงจัดหาตามสถานการณ์ ประกอบกับรัฐบาลไม่อยากให้ประชาชนมีความเสี่ยง เพราะวัคซีนเหล่านั้นยังไม่ได้มีการพิสูจน์ทราบ แต่ขณะนี้เมื่อมีการพิสูจน์แล้วจึงเปิดช่องทางให้วัคซีนหลายยี่ห้อได้เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งจะต้องหาช่องทางติดต่อบริษัทต่างๆ ว่าจะจัดซื้อได้อย่างไรบ้าง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนเข้าใจในกระบวนการจัดซื้อวัคซีนโควิดว่า ไม่ใช่การจัดหาล่าช้าหรือจำนวนน้อยเกินไป เพราะทุกอย่างพัฒนาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่อยากให้ประชาชนมีความเสี่ยงในช่วงแรกที่เริ่มมีการพัฒนาวัคซีนออกมา ซึ่งหลายประเทศก็ประเมินเช่นเดียวกันกับไทย

ส่วนการบริหารจัดการการฉีดวัคซีนโควิด-19 นั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลเร่งรัดให้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุดตามโควตาที่มีอยู่ในทุกจังหวัด และย้ำว่าต้องทั่วถึง เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ขณะเดียวกันรัฐบาลได้เตรียมจัดหาวัคซีนสำรองในระยะต่อไปด้วย เพื่อให้มีความเพียงพอ แต่ย้ำว่าในส่วนของการดำเนินการ ไม่สามารถจัดซื้อวัคซีนได้ง่ายเหมือนกับจัดซื้อยาตามปกติ เนื่องจากเป็นวัคซีนที่ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ที่ผู้ผลิตของบริษัทเอกชนจะไม่รับผิดชอบในกรณีที่เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียง ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเป็นผู้จัดหาเองในระยะแรก

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการเข้าถึงวัคซีนภายใต้แอปพลิเคชั่น “หมอพร้อม” ของกระทรวงสาธารณสุข ว่า จะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ เนื่องจากต้องมีการเตรียมการเพื่อให้เข้าถึงประชาชนทั้งประเทศโดยเร็ว จะได้ดูตัวเลขว่าประชาชนมีความพร้อมเข้าถึงวัคซีนในจำนวนเท่าใด ซึ่งขณะนี้ไทยนำเข้าวัคซีนมากกว่า 2 ล้านโดสแล้ว ซึ่งในส่วนของวัคซีนที่จะเข้ามาในประเทศไทยได้มีการประมาณการเอาไว้ว่าวันที่ 24 เมษายนนี้ วัคซีนของซิโนแวคจะเข้ามาอีก 5 แสนโดส, เดือนพฤษภาคม มีวัคซีนซิโนแวคเข้ามา 1 ล้านโดส แต่ต้องรอนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาลจีนก่อน

ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในไทย จะทยอยส่งมอบในเดือนมิถุนายนนี้ 4-6 ล้านโดส และเพิ่มจำนวนในเดือนกรกฎาคมจนถึงสิ้นปี จำนวน 61 ล้านโดส และหากรวมกับวัคซีนทางเลือกที่จะหาเข้ามาเพิ่มเติม ตนเชื่อมั่นว่าจะมีเพียงพอ ขณะเดียวกันสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กำลังเจรจากับไฟเซอร์ และมีความเป็นไปได้ว่าจะส่งในเดือนกรกฎาคมจนถึงสิ้นปี จำนวน 5-10 ล้านโดส ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาใบเสนอราคา และเงื่อนไขของการนำเข้า

ส่วนแผนการจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ ที่หลายคนเข้าใจว่าประเทศไทยขาดแคลนนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลได้เตรียมจัดการสำรองเอาไว้แล้ว โดยในเดือนเมษายนและพฤษภาคมจะจัดหาเพิ่มเติมอีก 2 ล้านเม็ด และพฤษภาคมถึงมิถุนายนอีก 1 ล้านเม็ด และ มิถุนายนถึงกรกฎาคม อีก 5 แสนเม็ด เพื่อให้ครบ 3.5 ล้านเม็ด พร้อมยืนยันว่า ยามีเพียงพอในขั้นต้นสำหรับการรักษา ซึ่งจะต้องประเมินสถานการณ์รายวัน และเตรียมพร้อมหากมีสถานการณ์เลวร้ายก็ต้องจัดหายาเพิ่มอีก ซึ่งทุกอย่างต้องมีแผนเป็นขั้นเป็นตอน

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า โรงพยาบาลสนามจะต้องมีการเตรียมพร้อมในทุกพื้นที่และหากไม่เพียงพอก็จะต้องมีการดำเนินการเพิ่มเติม ทั้งนี้ ผู้ป่วยหลายคนต้องการจะพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน แต่เตียงมีไม่เพียงพอ และจะต้องมีไว้รองรับผู้ป่วยโรคอื่นๆ ด้วย ดังนั้นขอให้ทุกคนเข้าใจ หากจำเป็นจะต้องเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลสนาม

พร้อมทั้งขอบคุณภาคเอกชนที่สนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม การสนับสนุนอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซีพี, SCG, ไทยเบฟเวอเรจ รวมถึง รพ.มงกุฎวัฒนะ

โดย นายกรัฐมนตรี ยืนยันจะดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อโควิด-19 อย่างเต็มที่ เพราะเป็นการติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนการลงโทษผู้ประกอบการสถานบันเทิงที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดนั้น ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ และให้มีการตรวจสอบหาเจ้าของสถานบันเทิงที่แท้จริง เพื่อดำเนินคดีต่อไป

ส่วนกรณีผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ให้ความร่วมมือกับแพทย์ ทั้งเรื่องการปฏิบัติตนในช่วงการรักษา และเข้ารับการรักษา ซึ่งเลือกสถานที่เข้ารับการรักษาโดยไม่ขอไปอยู่ที่โรงพยาบาลสนามว่า ก็ขอความร่วมมือผู้ป่วยทุกคนด้วย

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวขอโทษที่บางครั้งพูดข้อมูลในบางเรื่องผิดไป ซึ่งยอมรับว่าตนเป็นคนคิดเร็ว พูดเร็ว อาจจะพูดผิดบ้างถูกบ้าง ขอให้ทุกคนเข้าใจ สิ่งใดไม่ดีก็ขอโทษ และอะไรที่ดีก็ขอให้ร่วมมือ พร้อมยืนยันยึดหลักการจะทำให้ประเทศดีขึ้น และเดินหน้าแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook