ทะเลหนุนฝนตกภาคใต้ท่วมอ่วมหลายจังหวัด

ทะเลหนุนฝนตกภาคใต้ท่วมอ่วมหลายจังหวัด

ทะเลหนุนฝนตกภาคใต้ท่วมอ่วมหลายจังหวัด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตลาดมหาชัยท่วม50ซม.-ปากน้ำ80ซม.-สุราษฎร์2อำเภอท่วม น้ำโก-ลกอีก1เมตรชนตลิ่ง แหลมตะลุมพุก-ร.ร.จมน้ำ หัวไทร3ตำบลบ้านพัง363หลัง ตรัง184หลัง

เวลา 08.00 น. เกิดน้ำท่วมตลาดสดมหาชัย ต.มหาชัย อ.เมือง สมุทรสาคร สูงประมาณ 50 ซ.ม. ส่วนที่บริเวณรอบนอกตามสถานศึกษาและสถานที่ราชการนั้น น้ำท่วมเฉลี่ย 20 ซ.ม. รวมทั้งบริเวณท้ายบ้าน แถววัดช่องลม ต.ท่าฉลอม อ.เมืองสมุทรสาคร ที่ยังสร้างเขื่อนกั้นน้ำไม่เสร็จก็น้ำท่วมสูงเช่นกัน ประชาชนผู้สัญจรไปมาเดือดร้อน การจราจรหลายเส้นทางติดขัดอย่างมาก

นายทองแทน เลิศลัทธภรณ์ รองนายกเทศมนตรีนครสมุทรสาคร กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากน้ำทะเลหนุนสูงสุดจึงเกิดน้ำท่วมฉับพลันขึ้นมา ซึ่งทางเทศบาลนครสมุทรสาครได้ใช้รางดักน้ำไว้ที่บริเวณที่เกิดน้ำท่วม พร้อมทั้งดึงน้ำจากผิวจราจรโดยใช้เครื่องสูบน้ำดูดลงไปที่บ่อพักน้ำที่คลองยม ส่วนจุดที่น้ำท่วมอื่นๆก็จะเพิ่มเติมตัวพญานาคดูดไปพักไว้ที่คลองยมเหมือนกัน และหลังจากนั้นก็จะให้บ่อคลองยมเป็นตัวระบายน้ำออกไป คาดว่าทุกอย่างจะคลี่คลายภายในเย็นวันนี้

สุราษฎร์ 3อำเภอน้ำทะเลเอ่อท่วมบ้าน

สถานการณ์น้ำท่วม จ.สุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะริมชายหาด ม.7 ต.ท่าชนะ อ.ท่าชนะ น้ำทะเลหนุนสูง ประกอบกับคลื่นลมแรง กัดเซาะถึงบ้านหลายหลัง ขณะที่บ้านพักของนางฉวี สากา อายุ 60 ปี บ้านเลขที่ 50 ม.7 ต.ท่าชนะ เป็นบ้านไม้ทั้งหลังซึ่งสร้างมากว่า 50 ปี ต้องระดมกำลังเพื่อนบ้านและ อพปร.ช่วยกันรื้อบ้านเพื่อเอาไม้ออกทั้งหลัง เพราะหากปล่อยไว้จะถูกแรงคลื่นซัดพัง

ส่วนพื้นที่บริเวณหาดสมบูรณ์ ม. 3 ต.วัง อ.ท่าชนะ มีสภาพที่ไม่แตกต่างกันโดยมีน้ำทะเลหนุนสูงรวมกับปริมาณฝนที่ตกหนักวานนี้(4 พ.ย.) ทำให้น้ำท่วมบ้านเรือน ได้รับความเดือดร้อนกว่า 100 ครัวเรือน โดยน้ำไหลเข้าท่วมเข้าไปในบ้านหลายหลัง ขณะที่บนถนนไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ระดับน้ำสูงประมาณ 50-60 ซม.

นายมนตรี เพชรขุ้ม นายกอบจ.สุราษฎร์ธานี ได้สำรวจพื้นที่เสี่ยงภัยทุกจุด สำรองเรือท้องแบนไว้ในทุกอำเภอที่เสี่ยง ได้แก่ อ.ท่าชนะ, ไชยา และท่าฉาง โดยที่อ.ไชยา บริเวณจากสี่แยกไชยาเข้าไปในตัวตลาดไชยา ระยะทางประมาณ 1 กม.น้ำท่วมถนนสูงประมาณ 30-40 ซม. รถทุกชนิดไม่สามารถสัญจรไปมาได้

ผู้สื่อข่าวรายงานสภาพอากาศโดยทั่วไปของ จ.สุราษฎร์ธานี ท้องฟ้ามืดครึ้มสลับกับฝนตกเป็นบางช่วง ส่วนท้องทะเลมีคลื่นลมแรง บางช่วงคลื่นสูง 3-4 เมตร เรือสปีดโบ๊ทเกาะเต่าจอดเทียบท่าไว้ถูกคลื่นซัดมาขึ้นฝั่ง อ.ไชยาและประกาศหยุดเดินเรือท่องเที่ยวระหว่างเกาะชั่วคราว

เมืองปากน้ำจม น้ำทะเลหนุนดันเจ้าพระยา

ช่วงเช้าของวันนี้( 5 พ.ย.) น้ำทะเลในแม่น้ำเจ้าพระยาหนุนตัวขึ้นสูงทำให้ปริมาณน้ำที่สูงกว่าระดับทะเลปานกลาง ที่กรมอุตุนิยมวิทยา ได้พยากรณ์เอาไว้ว่า ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย.52 ไปจนถึงวันที่ 12 พ.ย.52 จะมีปริมาณน้ำทะเลสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 3.3 เมตร ทำให้ระดับน้ำที่สูงขึ้นได้ทะลักเข้าท่วมตัวเมืองปากน้ำ ระดับบนท้องถนนหลายสายมีปริมาณน้ำท่วมสูงกว่า 80 เซนติเมตร

โดยเฉพาะที่บริเวณถนนสุขุมวิท ช่วงสามแยกหอนาฬิกา ซึ่งเป็นเส้นทางสายหลักที่มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองปากน้ำ และเป็นเป็นเส้นทางหลักที่รถบรรทุกจะต้องวิ่งเข้านิคมอุตสาหกรรมบางปูน้ำท่วมสูงเกือบ 1 เมตร ในช่วงเช้าเป็นระยะทางยาวกว่า 200 เมตร ทำให้ทั้งรถใหญ่และรถเล็กไม่สามารถวิ่งผ่านได้

โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์บางคน น้ำท่วมเกือบมิดคัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่เทศกิจเทศบาลนครสมุทรปราการ ต้องเร่งระบายรถที่จะมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองปากน้ำออกไปใช้เส้นทางถนนศรีนครินทร์แทน ในขณะเดียวกันภายในตลาดปากน้ำ ก็มีปริมาณน้ำขึ้นท่วมสูงเช่นกันประมาณ 50 เซนติเมตร บรรดาแม่ค้าพ่อค้าต้องนั่งแช่น้ำขายของกันเป็นแถว

ในขณะเดียวกันข้าราชการที่จะเดินทางไปทำงานที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ ต้องอาศัยนั่งรถสามล้อปั่นเข้าไปทำงาน เหล่านักเรียนจากโรงเรียนสารพัดช่างซึ่งอยู่ใกล้กลับสามแยกหอนาฬิกา ต่างพากันออกมาช่วยชาวบ้านที่รถเสียและช่วยเข็นรถที่เสียอยู่กลางถนนเข้าข้างทางร่วมทั้งพาประชาชนล่องน้ำข้ามถนน

ขณะที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจราจร สภ.เมือง สมุทรปราการ ได้ใช้เรือพายจำนวน 2 ลำ พายเรือล่องไปตามถนนที่เกิดน้ำท่วมเพื่อเร่งระบายการจราจรและอำนวยความสะดวกให้แก่ชาวบ้าน และคอยรับส่งประชาชนที่จะข้ามถนนไปยังอีกฝากหนึ่งของถนน จึงขอฝากเตือนประชาชนที่จะใช้เส้นทางดังกล่าวในช่วงนี้ไปจนถึงวันที่ 12 พ.ย.52 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ไปจนถึงเวลา 13.00 น.ขอให้หลีกเลี่ยงใช้เส้นทางอื่น

ส่วนทางด้านถนนสุขุมวิท ตั้งแต่บางปู มุ่งหน้าไปยังคลองด่านในช่วงวัดศรีจันทราราม ไปจนถึงทางแยกเข้าการเคหะเมืองใหม่บางพลี ทางด้านถนนสุขุมวิท เขื่อนดินกั้นน้ำที่ทางกรมทางหลวงได้นำดินมาทำเป็นเขื่อนกั้นน้ำอยู่ริมถนนได้เกิดพังทลายลงมา ทำให้น้ำทะเลไหลทะลักเข้ามาท่วมถนนเป็นระยะทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตร รถไม่สามารถใช้เส้นทางดังกล่าวได้

ยะลาเตือนภัยน้ำท่วมหลังฝนตกหนักติดต่อ

เวลา 08.00 น. ที่กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดยะลา ออกประกาศแจ้งเตือนและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดยะลา ไปยังนายอำเภอทุกอำเภอ โดยทางกรมอุตุนิยมวิทยาคาดหมายว่าในช่วงวันที่ 4 และ 5 พฤศจิกายน 2552 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย มีกำลังแรง ซึ่งจะทำให้ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปมีฝนตกหนักมาก อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยระมัดระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและดินถล่ม

ในประกาศยังระบุอีกว่า เพื่อเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย ดินถล่ม อันเกิดจากสภาวะอากาศและฝนตกหนัก อาจจะสร้างความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินของประชาชน จึงให้ดำเนินการแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมการป้องกันและระมัดระวังอันตรายอันเกิดจากภัยธรรมชาติในระยะ 1 - 2 วันนี้ รวมทั้งกำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เข้าติดตามตรวจสอบสถานการณ์เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้น

ด้านสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดยะลา ได้รายงานปริมาณน้ำฝน ประจำวันที่ 5 พย. 52 ในพื้นที่ อ.เมือง มีปริมาณน้ำฝน 60.0 มม. อ.เบตง 35.5 มม. อ.บันนังสตา 80.6 มม. อ.ธารโต 80.2 มม. อ.ยะหา 61.8 มม. อ.รามัน 53.5 มม. อ.กาบัง 40.5 มม. และ อ.กรงปินัง 57.0 มม. โดยคาดหมายสภาพอากาศประจำวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 พื้นที่ จ.ยะลา จะมีฝนฟ้าคะนองกระจายร้อยละ 40 ของพื้นที่ โดยพื้นที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ อ.เมือง อ.เบตง อ.บันนังสตา อ.ธารโต และ อ.รามัน

ชลประทานนราธิวาส ประกาศน้ำหนุนแม่น้ำโก-ลก

นายประดิษฐ์ ปิ่นกระจาย ผู้อำนวยการโครงการชลประทานนราธิวาส กล่าวว่า ในพื้นที่นราธิวาสระยะนี้ พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเหตุอุทกภัยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบลุ่มและพื้นที่ริมแม่น้ำสาย 3 สายหลักที่ไหลผ่านในพื้นที่ เริ่มตั้งแต่แม่น้ำสุไหงโก - ลก แม่น้ำบางนรา และแม่น้ำสายบุรี ซึ่งขณะนี้แม่น้ำ 3 สายเริ่มมีระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริเวณต้นน้ำมีปริมาณน้ำฝนมาก โดยเฉพาะแม่น้ำสุไหงโก - ลก ขณะนี้ระดับน้ำห่างจากตลิ่งเพียง 1 เมตร 30 เซนติเมตร เท่านั้น ซึ่งคาดว่าระดับน้ำน่าจะเอ่อล้นตลิ่งในช่วงค่ำของวันนี้ อย่างไรก็ตาม แนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุอุทกภัยที่ทางจังหวัดนราธิวาสได้วางไว้นั้น จะสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างทั่วถึง

แหลมตะลุมพุกโดนคลื่นถล่ม-ร.ร.จม

มีรายงานเกิดฝนตกลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา หลายพื้นที่มีน้ำท่วมขังในที่ลุ่มในหลายอำเภอ เช่น ลานสกา เชียรใหญ่ เมือง ท่าศาลา สิชล ส่วนใหญ่เป็นน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักระบายไม่ทัน ขณะเดียวกัน มีน้ำป่าจากเทือกเขานครศรีธรรมราช ไหลมาสมทบ ระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยล่าช้า

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่ได้รับกระทบสูงสุดนั้น อันเนื่องจากมาจากลมมรสุมที่พัดกระหน่ำเข้าสู่อ่าวไทย ทำให้พื้นที่ชายฝั่งนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะในอำเภอปากพนัง และอำเภอหัวไทร อยู่ในสภาพวิกฤติจากคลื่นลมแรง และฝนที่ตกลงมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะในอำเภอปากพนังนั้นพบว่าในพื้นที่แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนังหมู่บ้านชาวประมงใน ม.2, ม.3 ต้องหยุดทำการประมงอย่างสิ้นเชิงนำเรืออพยพขึ้นมาให้ไกลจากชายหาดคลื่นได้ซัดโถมเข้ามาในหมู่บ้านทำให้น้ำทะเลท่วมหมู่บ้าน

ขณะเดียวกันโรงเรียนวัดแหลมตะลุมพุกได้ถูกน้ำทะเลพัดเข้าท่วมขังเต็มพื้นที่โรงเรียนจนต้องประกาศหยุดเรียน นักเรียนที่หยุดเรียนนั้นต่างเดินออกมาเล่นน้ำทะเลจับกลุ่มกันไล่จับปูดำ ปูแพ และปลาทะเลหลายชนิดที่ถูกคลื่นหอบเข้ามาว่ายอยู่ในสนามของโรงเรียนและในบริเวณวัดแหลมตะลุมพุกถูกน้ำทะเลพัดเข้าท่วมจนเต็มพื้นที่ กันอย่างสนุกสนาน

พื้นที่อำเภอหัวไทร นครศรีธรรมราช มีรายงานด่วนไปยังสำนักงานป้องกันบรรเทาสาธารณภัยสรุปตัวเลขของบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นที่พัดกระหน่ำตลอดแนวชายฝั่งของอำเภอหัวไทรใน 3 ตำบลคือ ตำบลเกาะเพชร ตำบลหัวไทร ตำบลหน้าสตน บ้านเรือนของประชาชน ได้รับความเดือดร้อนและความเสียหายจากการกัดเซาะบางส่วนสูงถึง 363 หลังคาเรือน

ตรังน้ำท่วม 7หมู่บ้าน 184 หลังจม

เวลา 10.30 น. นายสมพร สถิตย์ภูมิ นายอำเภอรัษฎา จ.ตรัง นำกำลังเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดตรัง และเจ้าหน้าที่จากเทศบาลตำบลคลองปาง ออกสำรวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำบนเทือกเขาบรรทัด และน้ำจากอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไหลบ่าลงสู่ลำคลองในพื้นที่อำเภอรัษฎา ทำให้เกิดภาวะน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน และพื้นที่ทางการเกษตรที่อยู่บริเวณริมสองฝั่งคลอง ตั้งแต่คืนวันพุธ( 4)ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ในส่วนของประชาชนที่อาศัยอยู่เขตเทศบาลตำบลคลองปาง ได้รับความเดือดร้อน จำนวน 50 ครัวเรือน ในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)หนองบัว หมู่ที่ 2 ได้รับความเดือดร้อน จำนวน 20 ครัวเรือน หมู่ที่ 7 ได้รับความเดือดร้อน จำนวน 60 ครัวเรือน และประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ องค์การบริการส่วนตำบล(อบต.)คลองปาง หมู่ที่ 5 มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน จำนวน 4 ครัวเรือน และ หมู่ที่ 6 จำนวน 50 ครัวเรือน รวมประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนมีจำนวน 184 ครัวเรือน

เตือนภาคใต้ พัทลุงลงไปฝนตกหนักระวังน้ำท่วม

กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศ ฉบับที่ 3 (179/2552) เรื่อง ฝนตกหนักและคลื่นลมแรง เมื่อเวลา 04.00 น.วันที่ 5 พฤศจิกายน ว่า มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมประเทศไทย อ่าวไทย และทะเลอันดามันยังคงมีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดพัทลุงมีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง

จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่ เสี่ยงภัยบริเวณที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มของจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ตรัง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะ น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากที่จะเกิดขึ้นในระยะนี้ ส่วนคลื่นลมอ่าวไทยและทะเล อันดามันยังคงมีกำลังแรง ขอให้ชาวเรือควรระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ โดยเรือเล็กในอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่ง ในระยะ 2-3 วันนี้ (5-7 พ.ย. 52)สำหรับบริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนยังคงปกคลุมประเทศไทย ทำให้ ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นในระยะนี้

ต้นมะขามยักษ์ร้อยปีล้มทับนศ.ฝึกสอนดับ

วันเดียวกันนี้ เกิดอุบัติเหตุต้นมะขามขนาดใหญ่ในสวนสาธารณเทศบาลตำบลพะตง ติดถนนเลี่ยมนุสรณ์ เขตเทศบาลตำบลพะตง อ.หาดใหญ่ สงขลา ล้มโค่นลงกลางถนน และทับร่างนายณัฐพล สุขคง อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11/8 ซอยรักมิตร ถนนผังเมือง 1 ตำบลสะเต็ง อ.เมือง ยะลา นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา

นายณัฐพลเป็นครูฝึกสอนอยู่ที่โรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ ขณะขับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟสีดำคาดน้ำเงิน ทะเบียน ขตค 308 สุราษฎร์ธานี ผ่านมาพอดีเสียชีวิตคาที่ นอกจากนี้ต้นมะขามยังได้ล้มทับสายไฟฟ้าที่อยู่ริมถนนเสียหายเป็นทางยาวกว่า 100 เมตร

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ต้นมะขามที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปีต้นนี้โค่นล้ม เนื่องมาจากภาวะฝนที่ตกหนักติดต่อกันมานานกว่า 1 สัปดาห์ ทำให้ดินชุ่มน้ำประกอบกับต้นมะขาม ซึ่งอยู่บนเนินสูงจากผิวถนนกว่า 2 เมตร เมื่อถูกแรงลมและฝนกระหน่ำจึงโค่นล้มลงมา และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ นายณัฐพล ซึ่งขับรถออกจากโรงเรียน เพื่อกลับบ้านพักโดยกางร่มกันฝนมาตลอดทาง จึงมองไม่เห็นต้นมะขาม ที่กำลังล้มลงมาทำให้ทับร่างเสียชีวิตดังกล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook