หมอปลา พาเหยื่อศูนย์บำบัดแจ้งความ แฉมีตำรวจเอี่ยว เงินสะพัด แต่สภาพเหมือนติดคุก

หมอปลา พาเหยื่อศูนย์บำบัดแจ้งความ แฉมีตำรวจเอี่ยว เงินสะพัด แต่สภาพเหมือนติดคุก

หมอปลา พาเหยื่อศูนย์บำบัดแจ้งความ แฉมีตำรวจเอี่ยว เงินสะพัด แต่สภาพเหมือนติดคุก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หมอปลา พาเหยื่อศูนย์บำบัดฯ แจ้งความ แฉมีตำรวจเอี่ยว หนึ่งในผู้เสียหายเผยเหมือนติดคุก พ่อแม่ส่งเงินให้แต่ได้กินข้าววันละมื้อ

นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา และ นายไพศาล เรืองฤทธิ์ นำผู้เสียหายจากศูนย์บำบัดวัดท่าพุราษฎร์บำรุง อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 10 ราย เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับศูนย์บำบัดฯ ในข้อหาค้ามนุษย์ หลังจากก่อนหน้านี้มีการเข้าช่วยเหลือผู้ที่เข้ารับการบำบัดประมาณ 216 คน ซึ่งหมอปลาได้รับการช่วยเหลือเมื่อวันที 20 กันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับการร้องเรียน จากกลุ่มอดีตผู้เข้ารับการบำบัด ว่ามีขั้นตอนการบำบัดและรักษาไม่ถูกต้อง ไม่ถูกสุขลักษณะ มีการทำร้ายทรมานร่างกายและจิตใจ โดยการให้อดอาหาร ทำร้ายทุบตี

นอกจากนี้ยังพบว่า มีการเรียกรับเงินในการเข้ารับการบำบัดและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายรายเดือน รวมทั้งหากต้องการออกจากศูนย์มีการบังคับเรียกเก็บเงิน

โดยนายจีรพันธ์ เปิดเผยว่า หลังได้รับการร้องเรียนตนพร้อมทนายความและ สื่อมวลชนหลายสำนักได้ลงพื้นที่และเข้าไปตรวจสอบพบสภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่ เหมือนนรกบนดิน ไม่ใช่ลักษณะของศูนย์บำบัดตามมาตรฐาน กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหลังจากเข้าช่วยเหลือ ตนได้เข้าไปลงบันทึกประจำวัน ไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.มะขามเตี้ย แต่รู้สึกว่าไม่มั่นใจในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่เพิกเฉยและรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงเข้ามาแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามเพื่อ ให้เกิดการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา

นอกจากนี้นายจีรพันธ์ กล่าวว่าเงินและทรัพย์สินของผู้บำบัดขอให้ทางศูนย์บำบัด ติดต่อคืนโดยเร็วเพราะตอนนี้ยังมีเงินตกค้างอยู่หลักแสนบาทรวมทั้งโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่ได้คืน เพราะ เจ้าหน้าที่อ้างว่าเจ้าอาวาสมรณภาพจึงไม่สามารถดำเนินการได้

ด้าน นายไพศาลระบุว่า จากพฤติการณ์ของสถานบำบัดดังกล่าวเข้าข่ายค้ามนุษย์เนื่องจากมีการทำเป็นขบวนการตั้งแต่จัดหาผู้บำบัด การนำพา การเรียกรับเงินผลประโยชน์ กักขังทรมานทำร้ายทุบตี และที่สำคัญพบว่ามีการเสียชีวิตในสถานบำบัดก่อนหน้านี้ 2-3 ราย และเหตุการณ์นั้นไม่มีการชันสูตรพลิกศพ

โดยพบว่ามีกลุ่มข้าราชการตำรวจในหลายจังหวัดเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดร้อยเอ็ด นอกจากนี้ ยังมีอาสาสมัครในจังหวัดกาญจนบุรี ที่นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเข้ามารับการบำบัดและเรียกรับผลประโยชน์

นายไพศาล กล่าวต่อว่าบางรายไม่ได้เป็นผู้เสพยาเสพติดแต่เป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีอื่นเช่น ปัญหาการทะเลาะ การทำร้ายร่างกายก็ถูกรวบนำมาไว้ที่แห่งนี้ ถูกตำรวจและเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ต่อรองกับผู้ปกครองว่าหากให้บุตรหลานเข้ารับ การบำบัดเป็นเวลา 1 ปี จะไม่ต้องถูกดำเนินคดีแต่ก็จะต้องมีค่าใช้จ่าย

ด้านนายเอ (นามสมมติ) ผู้เสียหายระบุว่าหลังจากได้รับการช่วยเหลือรู้สึกดีใจมาก ส่วนตนเข้ารับ การบำบัดในศูนย์บำบัดเป็นเวลา 9 เดือน ก่อนเข้าได้รับการเอกซเรย์ปอดเพียงอย่างเดียวไม่มีการตรวจเลือดหาสารเสพติดแต่อย่างใดตามขั้นตอน ส่วนการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เหมือนติดคุก ได้ทานข้าววันละ 1 มื้อ ต้องตื่นนอนตั้งแต่ 3.00 น. เพื่อทำวัตรสวดมนต์ แต่หากเสียงสวดมนต์ดังไม่พอไม่ถูกใจเจ้าหน้าที่ วันนั้นจะถูกลงโทษไม่ให้รับประทานอาหารเช้า ซึ่งส่วนใหญ่ตลอด เวลาที่เข้ารับการบำบัดได้รับประทานอาหารเพียงวันละ 1 มื้อ ทั้งที่พ่อแม่ส่งเงินมาให้ทุกเดือน

ทั้งนี้เวลาที่มีหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ ก็จะถูกปกปิด ผู้ที่เข้ารับการบำบัดก็ไม่สามารถจะชี้แจงหรือพูดอะไรได้เพราะจะถูกทำโทษ

อย่างไรก็ตามหลังพนักงานสอบสวนรับแจ้งความเอาไว้เพื่อดำเนินการตรวจสอบตามคำร้องทุกข์ ขณะเดียวกันทางทนายความ และหมอปลา ขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำพาผู้เสียหายมาที่ศูนย์บำบัดแห่งนี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook