ตลาดทองคำระอุแดดโต้ลมหนาว

ตลาดทองคำระอุแดดโต้ลมหนาว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ดันราคาทุบสถิติใหม่รายวัน

เผลอแป๊บเดียวราคาทองทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ครั้งใหม่แบบไม่ทันตั้งตัว ราคาในตลาดโลกเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ปรับตัวสูงสุด 1,091 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วน ราคาตลาดบ้านเราไม่น้อยหน้าปรับขึ้นมาบาทละ 450 บาท โดยราคารับซื้อทองคำแท่งยืนอยู่ที่บาทละ 17,100 บาท และขายออกบาทละ 17,200 บาท ขณะที่ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 16,858 บาท และขายออกบาทละ 17,600 บาท

ปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงได้ในช่วงนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ ข้อมูลต่าง ๆ แกว่งตัวผันผวนไม่เว้นแต่ละวัน ล่า สุดธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐก็ยังเสนอตัวเข้าสู่กระบวนล้มละลายอีก แถมในฟากของยุโรปก็มีแว่วว่าหลายธนาคารต้องถูกเข็นเข้าห้องไอซียูเช่นกันทำให้นักลงทุนยังหวาดผวากับการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ หรือสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ โดยหันมาซื้อทอง ซึ่งถือเป็นหลุมหลบภัยชั้นดีในภาวะที่อะไร ๆ ไม่แน่นอน

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกล่าสุดที่เข้ามาหนุนราคาทองอีกทางคือ การที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ตัดสินใจขายทองคำ 200 ตัน ให้กับธนาคารกลางอินเดีย ซึ่งก่อนหน้านี้ไอเอ็มเอฟมีแผนขายทองถึง 400 ตัน แต่คาดการณ์กันว่าจะเป็นการขายเข้าสู่ตลาดทำให้นักลงทุนประเมินกันว่าปริมาณทองคำในตลาดจะเพิ่มขึ้นจนเป็นแรงกดดันราคาทองคำอยู่เป็นระยะ ๆ แต่เมื่อผลสุดท้ายออกมาว่ามีการตัดขายครึ่งหนึ่งออกไปให้ธนาคารกลางอินเดีย เพื่อเป็นเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ จากปัจจัยลบก็เลยเป็นปัจจัยบวกเพราะถือว่าทองคำส่วนนั้นก็จะถูกฝังตุ่มไว้ในแดนภารตะไม่ได้ออกมาหมุนเวียนในตลาดอย่างที่กลัวกันหนำซ้ำยิ่งของน้อยลงราคาก็ต้องถีบตัวขึ้นเป็นธรรมดา ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งก็คาดกันเป็นส่วนใหญ่แล้วว่า ไอเอ็มเอฟคงตัดขายให้กับธนาคารกลาง แห่งใดแห่งหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเล็งกันไว้ว่าจะเป็นจีน แต่ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนถ้าหากเป็นการซื้อขายในลักษณะนี้ก็ถือว่าเป็นผลบวกกับราคาทองคำอยู่ดี

หากจะนับนิ้วหาคนที่ต้องกลุ้มใจกับภาวะราคาทองคำร้อน ๆ แบบนี้คงหนีไม่พ้นผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ เพราะตอนที่ทองราคาบาทละ 16,000 บาท ก็แห่ขายทองจนตลาดเยาวราชแทบแตกทำสถิติขายทองต่อวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาแล้ว โดยหวังว่าจะได้ขายของแพงและรอกลับไปซื้อของถูกไว้เล่นรอบใหม่ แต่จนแล้วจนเล่าราคาทองก็ไม่ใส่เกียร์ถอยหลังไปไกลอย่างที่ใครคิด หนำซ้ำยังทยอยขยับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องอีกต่างหากจนคนที่รออยู่ต้องเริ่มกลับมาพลิกตำรากันใหม่แล้วว่า จะรอต่อไปหรือจะตามแห่เข้าไปด้วยดี เพราะถ้ารอต่อไปราคาทองอาจจะเดินหน้าไปลิบกว่าเดิมก็ได้

เซียนค้าทองคำอย่าง จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำให้ความเห็นว่า ราคาทองคำในช่วงนี้ค่อนข้างผันผวน เพราะเป็นช่วงปรับฐาน คาดว่าราคาทองคำจะแตะไปถึระดับ 1,120 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้นเท่าใดนั้นขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนั้น ๆ ว่าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าราคาทองคำยังเป็นช่วงขาขึ้นมาก กว่าขาลง สำหรับประชาชนที่ต้องการซื้อทองเพื่อให้กับญาติมิตร หรือเป็นโบนัสให้กับพนักงานในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้น ถ้ามีเงินก็ซื้อได้ทันทีไม่ต้องรอไปจนถึงปีใหม่ เพราะไม่รู้ว่าราคาข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

ผิดกับ พิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ ที่มองว่า ไม่ควรซื้อทองคำในช่วงนี้ เนื่องจากราคาสูงเกินไป ควร ที่จะให้ราคาปรับลดลงมาที่บาทละ 15,000-16,000 บาท ถึงเข้าไปซื้อไว้ เพราะราคาทองคำที่พุ่งสูงปรี๊ดอย่างนี้เป็นภาวะผิดปกติ เนื่องจากเฮจฟันด์ เข้ามาเก็งกำไรกันมาก หลังจากที่สถาบันการเงินในสหรัฐคือ ซีไอทีกรุ๊ป ประกาศล้มละลายทำให้นักลงทุนมีความกังวลว่าเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวจริง และตัวเลขการว่างงานของสหรัฐยังมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าตัวเลขการบริโภคจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม

ฝั่ง บุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธาน บริษัท ที.ซี.ออสสิริส ฟิวเจอร์ จำกัด ได้วิเคราะห์ว่า แนวโน้มราคาทองคำจนถึงสิ้นปีเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,100-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ฐานจะอยู่ที่ 950 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนตลาดทองคำของไทยนั้น มีการปรับฐานเช่นเดียวกันจากที่ราคาขึ้นไปสูงสุดที่บาทละ 17,450 บาท คาดว่าจะปรับลดลงมาที่บาทละ 16,000 บาท

ขณะที่บทความจาก บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ ระบุว่า ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำโลก ยังมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นต่อไปหาระดับ 1,120-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณบาทละ 17,700-18,200 บาท เพราะได้แรงหนุนจากปัจจัยทางด้านฤดูกาลที่เป็นไฮซีซั่นของราคาทองคำ โดยหากพิจารณาจากข้อมูล 10 ปีย้อนหลังพบว่า ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ของทุกปี ราคาทองคำ โลกมักปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยประมาณ 3% ต่อเดือน และมีเพียง 3 ปีเท่านั้นที่ปรับตัวลดลง เพราะเป็นช่วงที่มีงานเทศกาลจำนวนมาก เช่น คริสต์มาส ปีใหม่ และคาบเกี่ยวไปถึงเทศกาลตรุษจีนในช่วงต้นปีหน้า

สำหรับมุมองของผู้บริโภคอย่าง สมสมัย สนหอม ข้าราชการบำนาญที่ทุ่มทุนสะสมทองคำมานาน ก็ยังขอเก็บทองรูปพรรณ ที่สั่งสมมาตั้งแต่สนนราคาบาทละ 8,000 บาท เอาไว้ก่อน แต่หากราคาทะยานขึ้นถึงบาทละ 20,000 บาทจึงจะขนทองที่มีอยู่ออกมาขายทำกำไร

เช่นเดียวกับ วราภรณ์ โอศิริ คุณครูพิเศษ โรงเรียนสรรพาวุธวิทยา ที่รอให้ราคาทองทะลุบาทละ 20,000 บาท จึงจะเปิดเซฟขนทองออกมาขาย เพราะกลัวว่าหากเทขาย ในช่วงนี้อาจกลับเข้าไปซื้อได้ยาก เนื่องจาก ราคาสูงเกินไป ซึ่งส่วนตัวนั้นได้ซื้อทั้งทองรูปพรรณและทองคำแท่งสะสมไว้ตั้งแต่ราคาบาทละ 5,000 บาท จนขยับขึ้นมาเป็นบาทละ 8,000 บาท และช่วงนี้คงไม่เข้าเก็บทองคำเพิ่มเพราะมีความผันผวนสูง

ขณะที่ ทวิติยา สมัตถะ พนักงานบริษัทเอกชน บอกว่า ยังไม่สนใจซื้อทองในช่วงนี้ เพาะมีราคาสูง ซึ่งต้องรอให้ราคาลงกว่านี้ก่อน โดยขอรอดูตลาดทองคำก่อนว่าเป็นอย่างไร หลังจากนั้นถึงจะตัดสินใจนำทองคำที่มีอยู่ออกมาขายทำกำไรบ้าง

ปิดท้าย สุคนธ์ สิงห์สุวรรณ ข้าราช การหน่วยงานแห่งหนึ่ง ระบุว่า ถ้าราคาทองลงเหลือบาทละ 15,000 บาทก็จะซื้อเก็บไว้ใส่เป็นเครื่องประดับและเก็งกำไรบ้างเล็กน้อย หรือถ้ามีเงินเหลือก็ซื้อให้กับญาติพี่น้องในช่วงเทศกาลหรือโอกาสพิเศษบ้าง

แม้พอเห็นแนวโน้มผ่านสายตาของผู้คร่ำหวอดในแวดวงทองคำว่า ราคาจังหวะและโอกาสน่าจะเป็นไปในมุมไหนแต่ต้องไม่ลืมว่าทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดา เพราะ ทองคำเป็นตลาดที่ใหญ่เกินกว่าใครจะมาผลักดันหรือสั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้ง่าย ๆ ดังนั้นเราในฐานะผู้บริโภคก็ต้องฟังหูไว้หู และตรวจสอบดูวัตถุประสงค์ของตัวเองให้ชัดเจน หากคิดแค่ซื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นของขวัญให้ตนเองหรือคนสนิทชิดใกล้ราคาต่างกันไม่กี่ร้อยก็ไม่ควรที่จะไปใส่ใจอะไรให้กลุ้มใจจนเกินเหตุ

แต่หากเป็นนักลงทุนที่หวังเก็งกำไรราคาทองก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วยว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวร้อนแรงเกินไปก็ไหม้มือได้เหมือนกันจึงต้องเผื่อเวลาให้กับการลงทุนของตนเองบ้าง หากสถานการณ์ระยะสั้นไม่เป็นดังที่คาดหวังก็ยังมีโอกาสที่จะถือต่อเพื่อแก้มือในระยะยาว เพราะอย่างไรเสียทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟถึงจะโดนทุบอย่างไรสุดท้ายก็จะคืนรูปกลับมาได้เช่นเดิม.

ข้อมูลจำเพาะ

ทองคำเป็นที่รู้จักกันมาเป็นเวลาเกือบหกพันปีมาแล้ว คำว่า Gold มาจากคำภาษาอังกฤษ คือ Geolo ซึ่งแปลว่าเหลือง ส่วนสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ของธาตุทองคำ Au มาจากคำภาษาลาติน คือ Aurum แปลว่า ทอง ในยุคโบราณทองคำได้นำมาใช้เป็นเครื่องตกแต่งในพิธีกรรมทางศาสนา หรือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจ ความรุ่งเรือง ซึ่งค้นพบทองครั้งแรกแถบเอเชียตะวันตก โดยเฉพาะในประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีสิ่งของเครื่องทองให้ปรากฏเห็นตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาได้ค้นพบที่มาซิโดเนีย อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน สหรัฐ และออสเตรเลีย การขุดทองเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่มีการค้นพบทวีปอเมริกา นับเป็นเวลาหลายศตวรรษที่ทองคำยังคงสามารถใช้เป็นเงินตราที่มีค่าสูงสุดและเป็นโลหะชนิดเดียวที่ได้รับการยอมรับในทุกหนทุกแห่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook