ไล่เลขาฯทูต ''สุมไฟ'' ปมขัดแย้งไทย-เขมร
หลายช่วงหลายตอน สะท้อน ให้เห็นได้เป็นอย่างดีถึงความพยายามของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ทั้งเรื่องความจงรักภักดี ความรักชาติ ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง 2 ชาติ ข้อสงสัยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในกัมพูชา
ยืนยันว่าไม่เคยมีผลประโยชน์ในกัมพูชาเลยแม้แต่สลึงเดียวเมื่อก่อนนี้ใช่เพราะมีธุรกิจแต่ก็เป็นในสมัยโน้นแต่ขณะนี้ก็ขายธุรกิจทั้งหมดแล้วตอนนี้ไม่มีอะไรวันนี้ไม่มีอะไรเลยบาทเดียวก็ไม่ได้ลงทุนที่นี่ผลประโยชน์ทับซ้อนไม่มีเลย
ก็รู้สึกว่าทำไมเด็กจังเลย ทำไมไม่คิดเป็นเหตุเป็นผลจากประโยชน์ของบ้านเมืองหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทำไมไม่คิดกันตรงนั้นแต่ผมก็ไม่เกี่ยวเพราะไม่ได้มีหน้าที่แล้วใครจะเลิกอะไรก็ไม่เป็นไรไม่เกี่ยวกับผมและไม่สนใจในเรื่องนี้
ช่วงหนึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ ง่อนแง่น ระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชาไว้ว่า
ต้องถามว่าตั้งแต่ไปด่าเขาในสมัยที่เป็นฝ่ายค้านต้องไปถามตรงนั้นเพราะตอนนี้มานั่งเป็น รมว.การต่างประเทศ แล้วจะมาเจริญสัมพันธไมตรีกับเขา ต้องไปถามรัฐบาลก่อนอย่ามาโทษผม ไม่ใช่เอะอะอะไรก็โทษที่ผมหมดโทษตัวเองเป็นหรือไม่
ในแง่ความสัมพันธ์ สมเด็จฮุนเซนกับ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ากัน เป็นปี่เป็นขลุ่ย ขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กับรัฐบาลสมเด็จฮุนเซน กลายเป็น น้ำ กับ น้ำมัน
ล่าสุดเมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย.จู่ ๆ รัฐบาลกัมพูชาก็ขับเลขานุการเอกประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ออกนอกประเทศภายใน 48 ชั่วโมง ขณะที่รัฐบาลก็ตอบโต้ทางการทูตขับเลขานุการเอกประจำสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย ออกนอกราชอาณาจักรเช่นกัน