ลูกศิษย์เผย "อดีตพระยันตระ" ให้คติธรรมก่อนกลับสหรัฐฯ ถ้าเธอไม่ทิ้งธรรม ฉันก็ไม่ทิ้งเธอ

ลูกศิษย์เผย "อดีตพระยันตระ" ให้คติธรรมก่อนกลับสหรัฐฯ ถ้าเธอไม่ทิ้งธรรม ฉันก็ไม่ทิ้งเธอ

ลูกศิษย์เผย "อดีตพระยันตระ" ให้คติธรรมก่อนกลับสหรัฐฯ ถ้าเธอไม่ทิ้งธรรม ฉันก็ไม่ทิ้งเธอ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ลูกศิษย์เผย อดีตพระยันตระ ให้คติธรรมก่อนกลับสหรัฐฯ ถ้าเธอไม่ทิ้งธรรม ฉันก็ไม่ทิ้งเธอ พร้อมเผยเหตุผลที่กลับมาไทยโดยไม่ฟังคำทัดทานของใคร

จากกรณีวานนี้  (27 ต.ค.) เมื่อเวลา 04.00 น. อดีตพระยันตระ หรือ นายวินัย ละอองสุวรรณ แต่งกายห่มเขียว ไว้ผมยาว หนวดเคราเฟิ้ม เดินทางมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีบรรดาพระสงฆ์ แม่ชี และลูกศิษย์ รวมประมาณ 50 คน มารอส่งขึ้นเครื่องบิน โดยการเดินทางของอดีตพระยันตระ จะขึ้นเครื่องบินของเที่ยวบิน NH806 ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 07.00 น.

เฟซบุ๊กเพจ ยันตระ แห่งสุญญตาราม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ อดีตพระยันตระ ได้เปิดเผยว่า 

"ท่านพระอาจารย์ยันตระก่อนท่านขึ้นเครื่องบิน ท่านแสดงคติธรรมว่า ถ้าเธอไม่ทิ้งธรรม ฉันก็ไม่ทิ้งเธอ ถ้าเธอทิ้งธรรม ฉันก็ทิ้งเธอ ถ้าปฏิบัติธรรม ภาวนาอยู่เสมอ กระแสพลังจิตภาวนาก็จะส่งถึงท่านพระอาจารย์ได้ และท่านก็ส่งถึงผู้บุคคลนั้นผู้ประพฤติธรรมเช่นกัน"

ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็ได้ให้ข้อมูลด้วยว่า คณะที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้มีพระภิกษุ 2 รูปด้วยกัน รูปแรกคือพระณัฐคม หรือที่รู้จักกันในนามว่า "พระหมอสมชาติ" รูปที่ สองคือพระมหาวิเลิศ ปวิตฺตสิริ อายุ 68 ปี อายุพรรษา 48 เปรียญธรรม 7 ประโยค วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ ซึ่งไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นเวลานานตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม โดยการกลับมาประเทศไทยครั้งนี้ของพระมหาวิเลิศก็เพราะคิดถึงบ้านเกิด เพราะญาติตายไปแล้ว 3 คนไม่เคยได้มาร่วมงานศพเลย จึงถือโอกาสเดินทางมาด้วยกัน แล้วก็เดินทางกลับสหรัฐอเมริกาพร้อมกัน  ทั้งสามท่านถือหนังสือเดินทางสัญชาติสหรัฐอเมริกา

"จะกล่าวไปแล้ว การเดินทางกลับมาประเทศไทยของพระอาจารย์ยันตระในครั้งนี้มีอุปสรรคมากมายกว่าทุกครั้งตั้งแต่ต้น ญาติโยมลูกศิษย์ลูกหาที่คุ้นเคยใกล้ชิดทุกคนแม้แต่พี่สาวของท่านเองก็ห้ามไม่ให้ท่านมา แต่ท่านก็ยังยืนยันที่จะมาให้ได้ ไม่ฟังคำทัดทานของใคร จนเป็นที่แปลกใจในแวดวงของลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดแทบทั้งหมด ผู้เขียนเป็นคนอยู่วงนอกไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ตอนแรกก็โกรธระคนแปลกใจว่าแทนที่จะดีใจว่าท่านจะกลับมาเมืองไทย แต่ทำไมทุุกคนกลับขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้ท่านกลับมา พอมาถึงตอนนี้ก็ทราบชัดเจนอย่างไม่ต้องให้ใครอธิบายอีกแล้วว่าทำไมพวกเขาจึงห้ามและขัดขวางทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ท่านกลับมาครั้งนี้ การที่ท่านกลับมาครั้งนี้แม้จะมีอุปสรรคมากมายน่าจะเป็นเพราะ "กุฏิสุญญตา"หลังนี้แหละ

"การที่ท่านยอมเสี่ยงอันตราย ยอมเผชิญกับเหตุร้ายก็เพื่อทำตามสัจจะที่ให้ไว้ มาปลดเปลื้องปฏิญญาและความตั้งใจในการที่มีผู้มีศรัทธาอันบริสุทธิ์สร้างกุฏิถวาย เนื่องจากเจ้าภาพสร้างกุฏิเป็นหญิงชราอายุ 87 ปีแล้ว ในชีวิตไม่เคยบริจาคเงินทำบุญขนาดนี้ที่ไหนมาก่อนเลย เฝ้ารอวันให้ท่านมารับมอบกุฏิก่อนที่ตนจะตาย ลูกๆของหญิงชราก็มีใจศรัทธามาทำหน้าที่เป็นแม่ครัวทำอาหารมังสวิรัติและน้ำปานะถวายพระภิกษุและญาติธรรม

"บางคนนั้นเคยเดินพรมแดงในพระราชวังเขมรินทร์ ณ ประเทศกัมพูชามาแล้ว แต่ก็ยังมาเป็นแม่ครัวกับเขาได้ เพราะความตั้งใจอยากให้ความหวังของมารดาผู้ชราสามารถถวายกุฏิท่านพระอาจารย์ยันตระสำเร็จก่อนวาระสุดท้ายจะมาเยือน นอกจากนั้น ไหนจะเป็นการจัดสวนจัดภูมิทัศน์รอบกุฏิและกระท่อมอีก 6 หลัง ด้วยมือและหยาดเหงื่อของตนเองของบรรดาญาติโยมหญิงชายของเกพลิตาโพธิวิหารซึ่งทุ่มเทกันสุดชีวิตอีกเล่า

"คงเป็นเพราะพลังศรัทธาอันบริสุทธิ์ที่ยิ่งใหญ่นี้เองทำให้พระอาจารย์ยันตระไม่ฟังเสียงใครเลยยืนยันตลอดว่า "จะต้องมา" แม้ว่าก่อนจะถึงวันเดินทางสองวัน ท่านล้มในห้องน้ำ ยังไม่ยอมให้คนเรียกรถพยาบาล เพื่อที่จะทำตามสัญญา ทำตามสัจจะว่าจะมา.. เดินทางมาประเทศไทย "กุุฏิสุญญตา" หลังนี้เองเป็นสาเหตุให้ท่านต้องกลับมาเพื่อทำตามสัญญา ทำให้ท่านต้องมาเผชิญชะตากรรมถูกโจมตีอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง นี้คือความเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชายซึ่งยากนักจะหาได้ในยุคสมัยนี้

"ถ้ายกเอาความเป็น "พระภิกษุ"ออกไป ความประทับใจที่มีต่อท่านพระอาจารย์ยันตระตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ก็คือ "ความเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย"ข้อนี้เองขอเอากุฏิสุญญตาหลังนี้เป็นอนุสรณ์ แม้นว่าหากการกลับมาประเทศไทยครั้งนี้จักเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้ไปท่านไม่ได้กลับมาอีกเลย"

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook