โออีซีดียันจีน-เอเชีย-สหรัฐพาโลกฟื้น
ขณะที่ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธต่อสถานีข่าวฟอกซ์ นิวส์จากประเทศจีน ก่อนเดินทางเยือนเกาหลีใต้ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐจะเติบโตอีกครั้งในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังจากประสบภาวะถดถอยมาเป็นเวลายาวนาน ผู้นำสหรัฐระบุว่า มองเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ถึงแม้เศรษฐกิจจะดีขึ้น ก็ยังต้องใช้เวลาอีกระยะในการแก้ปัญหาอัตราการว่างงานที่ยังพุ่งทะยานทะลุร้อยละ 10 ครั้งแรกในรอบ 26 ปีเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
ส่วนเศรษฐกิจเขตยูโรโซน ซึ่งดีกว่าใ 2551 ด้วยอัตราการขยายตัวร้อยละ 0.5 ขณะนี้ กำลังจะกลับเข้าที่เข้าทาง โดยจะหดตัวร้อยละ 4.0 ในปีนี้ และเติบโตได้ร้อยละ 0.9 และ 1.7 ในปี 2553 และ 2554 ด้านญี่ปุ่น ก็ขยับออกจากภาวะหดตัวร้อยละ 0.7 ในปี 2551 และร้อยละ 5.3 ในปีนี้ และจะขยายตัวได้ร้อยละ 1.8 และร้อยละ 2.0 ตามลำดับ
โออีซีดี ได้เพิ่มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีน เป็นร้อยละ 8.3 ในปีนี้ และร้อยละ 10.2 ในปี 2553 โดยระบุว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดมหึมาของรัฐบาลจีนและแผนกระตุ้นงบประมาณ ทำให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง
ขณะเดียวกัน นายราวี มีนอน ปลัดกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม หรือเอ็มทีไอ ของสิงคโปร์ อ้างข้อมูลอย่างเป็นทางการว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ขยายตัวร้อยละ 14.2 ช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. หลังเติบโตที่ร้อยละ 21.7 ในไตรมาสก่อน ซึ่งเท่ากับว่าเศรษฐกิจของสิงคโปร์หลุดพ้นจากภาวะถดถอยแล้ว ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2553 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 3.0-5.0 ขณะที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะหดตัวร้อยละ 2.0-2.5 ในปีนี้
ทั้งนี้ เศฐกิจของสิงคโปร์ ซึ่งพึ่งพาการค้าเป็นหลัก นับเป็นแห่งแรกในเอเชียที่ดำดิ่งสู่ภาวะถดถอยเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกกระทบต่อปริมาณความต้องการสินค้าส่งออกของสิงคโปร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐ
ส่วนนิตยสารฟอร์บส์ เปิดเผยรายชื่อมหาเศรษฐีเมื่อวันพฤหัสบดี พบว่า มหาเศรษฐีในอินเดียเพิ่มขึ้น เกือบ 2 เท่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เป็น 52 คน โดยส่วนใหญ่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวในตลาดหุ้น ที่พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 76 ตั้งแต่ต้นปี และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจอินเดีย ก็ทำให้ชาวอินเดียร่ำรวยขึ้น เมื่อปีที่แล้ว มหาเศรษฐีอินเดียลดลงครึ่งหนึ่งจาก 54 คนในปี 2550 เหลือเพียง 27 คน.