ห่วงโรคไต! คลังเล็งเก็บภาษีความเค็ม ให้เวลาปรับตัวอย่างน้อย 6 เดือน-1 ปี

ห่วงโรคไต! คลังเล็งเก็บภาษีความเค็ม ให้เวลาปรับตัวอย่างน้อย 6 เดือน-1 ปี

ห่วงโรคไต! คลังเล็งเก็บภาษีความเค็ม ให้เวลาปรับตัวอย่างน้อย 6 เดือน-1 ปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กระทรวงการคลัง เผยอยู่ระหว่างศึกษานำ "ภาษีความเค็ม" มาบังคับใช้ หวังลดการบริโภคโซเดียมลง

วันนี้ (26 พ.ย.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนาเพื่อการขับเคลื่อนมาตรการลดการบริโภคเกลือโซเดียมในประชากรไทยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตความเค็มตามปริมาณโซเดียม และจะดำเนินมาตรการดังกล่าวในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อไป โดยมาตรการภาษีสรรพสามิตเป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนให้ประชาชน และผู้ประกอบอุตสาหกรรมลดการบริโภคและลดการผลิตสินค้าที่มีปริมาณโซเดียมสูง ร่วมกับการใช้มาตรการอื่นที่ไม่ใช่ภาษี

“ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน และไตวายเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น โดยมาจากการบริโภคหวาน มัน เค็ม ที่ผ่านมาคลังได้มีการจัดเก็บภาษีจากความหวานไปแล้วก็ได้ผลดี ต่อไปก็เป็นภาษีจากความเค็ม ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากโรคเรื้อรังส่งผลให้ภาครัฐสูญเสียค่าใช้จ่ายและโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ ส่วนจะเริ่มจัดเก็บภาษีจากความเค็มได้เมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” นายอาคม ระบุ

โดยมีเป้าหมายให้การบริโภคโซเดียมของคนไทยในแต่ละวันน้อยกว่า 20% ต่อคนต่อวัน หรือเหลือ 2,800 มิลลิกรัม/คน/วัน จากอัตราการบริโภคของคนไทยในปัจจุบันที่ 3,600 มิลลิกรัม/คน/วัน และมีเป้าหมายให้ลดต่ำกว่า 2,000 มิลลิกรัม/คน/วัน ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาข้อมูลขององค์การอนามัยโลกที่หากมีการบริโภคโซเดียมเกินเกณฑ์ก็จะมีผลต่อสุขภาพ ซึ่งเรื่องการจัดเก็บภาษีจากความเค็มนั้น ก็ต้องไปดูว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างไร โดยอาจจะต้องใช้เวลา เพราะต้องมีการหารืออย่างรอบคอบกับผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อาหาร

ทั้งนี้ รมว.คลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการใช้เครื่องมือทางภาษีนั้นต้องดูการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมด้วย รวมถึงมาตรการรณรงค์ในกลุ่มร้านอาหาร และพฤติกรรมของคนในครอบครัวให้ลดการบริโภคเค็มลง ยอมรับว่าคงต้องใช้เวลา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก ทุกภาคส่วนจะต้องปรับตัวทั้งหมด

นอกจากนี้ เมื่อมีการใช้เครื่องมือทางภาษีแล้ว จะต้องมีระบบการติดตามและประเมินผลของมาตรการลดการบริโภคโซเดียมด้วยว่าเครื่องมือทางภาษีจะมีผลต่อการลดการบริโภคอย่างไร อัตราการป่วยจากโรคไตเรื้อรังจะลดลงหรือไม่อย่างไร หากไม่มีการติดตามประเมินผลก็อาจจะสะท้อนว่าเครื่องมือทางภาษีไม่ได้ผล ไม่มีประโยชน์ โดยจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยดูแล ได้แก่ สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ขณะที่ร้านอาหาร ภัตตาคาร ก็ต้องมีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เข้ามาช่วยดูแลคุณภาพ โดยจะใช้ระบบเดียวกับภาษีความหวานที่ต้องมีการวัดปริมาณที่ชัดเจน

ขณะที่ นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต กรมสรรพสามิต กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของภาษีโซเดียม ไม่ได้มุ่งเป้าหมายที่การเพิ่มรายได้ของรัฐบาล แต่เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและการสูญเสียชีวิตจากการบริโภคโซเดียมเกินพอดี เพิ่มทางเลือกของสินค้าที่มีโซเดียมต่ำในท้องตลาดมากขึ้น และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์

ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา ส่วนการจัดเก็บยังต้องดูความพร้อมของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาพรวมของเศรษฐกิจด้วย ซึ่งเวลานี้ยังไม่เหมาะจะดำเนินการ เนื่องจากเศรษฐกิจยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว โดยมองว่าหากมูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 16 ล้านล้านบาท อาจจะสามารถดำเนินการจัดเก็บภาษีจากความเค็มได้

“สินค้าที่จะจัดเก็บภาษีโซเดียมเป็นสินค้าที่มีความยืดหยุ่นต่อราคาสูง อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงต้องให้เวลาผู้บริโภคในการปรับพฤติกรรมการบริโภคให้เหมาะสม และให้เวลากับผู้ประกอบการในการปรับเปลี่ยนสูตรผลิตภัณฑ์ โดยเบื้องต้นจะให้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี สำหรับการปรับตัวก่อนจะมีการจัดเก็บภาษีจริง” นายณัฐกร สรุป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook