ปีหน้าราคาข้าวถุงส่อปรับขึ้น20%แข่งขันรุนแรงขึ้น

ปีหน้าราคาข้าวถุงส่อปรับขึ้น20%แข่งขันรุนแรงขึ้น

ปีหน้าราคาข้าวถุงส่อปรับขึ้น20%แข่งขันรุนแรงขึ้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ซี.พี.อินเตอร์เทรดมองปีหน้าราคาข้าวส่งออกและข้าวถุงในประเทศพุ่ง 20% จากปีนี้ หลังความต้องการเพิ่มขึ้น จากปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง เชื่อแนวโน้มการแข่งขันข้าวถุงในประเทศรุนแรง มีคู่แข่งรายใหม่เข้าตลาดมากขึ้น

นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวตราฉัตร กล่าวว่า ในปีหน้าราคาข้าวส่งออกและข้าวถุงจำหน่ายในประเทศมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้กว่า 20% เนื่องจากความต้องการข้าวในหลายพื้นที่มากขึ้น เป็นผลจากปัญหาน้ำท่วมและฝนแล้งในหลายประเทศทั่วโลก ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลให้ราคาข้าวเปลี่ยนแปลงในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัทนั้น ปีหน้าจะมีการเปิดโรงงานนครหลวง ซึ่งเป็นโรงงานแห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 1 ล้านตันต่อปี จะมีผลทำให้บริษัทสามารถเพิ่มกำลังการผลิตรวมจาก 1.1 ล้านตัน เป็นเกือบ 2 ล้านตัน ผลักดันให้แนวโน้มธุรกิจในปีหน้าเติบโตสูง โดยคาดว่าจะมียอดขายข้าวเพิ่มขึ้นเป็น1.5 ล้านตัน เพิ่มจากปีนี้ 50% แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 7 แสนตัน และยอดขายต่างประเทศ 8 แสนตัน รวมรายได้ 4 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในปีนี้คาดว่าจะปิดยอดขาย 1 ล้านตัน แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 4.5 แสนตัน และต่างประเทศ 5.5 แสนตัน มีรายได้ 2.8 หมื่นล้านบาท จากปี 2551 ซึ่ง ซี.พี.มีรายได้ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท จาดยอดขาย 9 แสนตัน

"แนวโน้มการแข่งขันค้าข้าวทั้งการส่งออกและโดยเฉพาะในประเทศจะยังคงเป็นไปอย่างรุนแรง เพราะเริ่มมีผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาในตลาด ทำให้ในปีหน้าบริษัทให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพของข้าวเป็นหลัก โดยขณะนี้ได้ร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตรพัฒนาพันธุ์เพิ่มมูลค่าและยกระดับราคาของข้าวหอมมะลิไทย" นายสุเมธกล่าวและว่า ด้านการตลาดคาดว่าจะมีการเพิ่มงบการตลาดมากกว่า 20% จากปีนี้ที่ใช้งบราว 200 ล้านบาท เนื่องจากเชื่อว่าแบรนด์สินค้ามีผลดีทั้งต่อการขายในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งจะยังคงสร้างโปรโมชั่นจูงใจต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ข้าวหอมมะลิตราฉัตรทองได้รับรางวัลชนะเลิศ "ข้าวที่ดีที่สุดในโลก" ซึ่งเป็นการจัดประกวดครั้งแรกในการสัมมนาข้าวโลก ที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา จากผู้เข้าร่วมแข่งขัน 22 แบรนด์ อาทิ ข้าวจากประเทศพม่า ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

นายสุเมธ กล่าวถึงการสต็อกข้าวของรัฐบาลไทย 6 ล้านตัน ว่า ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสม และจะเกิดผลดีมากกว่าผลเสีย เพราะถือเป็นการสร้างความมั่นคงเรื่องอาหาร ซึ่งสิ่งสำคัญหลังจากนี้เป็นเรื่องการบริหารจัดการข้าวที่มีอยู่ว่าจะจัดสรรขายอย่างไรเพื่อไม่ให้กระทบต่อผลผลิตนาปรัง และสร้างรายได้ที่ดีแก่ประเทศ โดยอาจใช้การทยอยปล่อยขายเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาพรวมผู้ประกอบการและส่งออกข้าวมีการปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ราคาข้าว โดยมีการพิจารณากลั่นกรองคำสั่งซื้อข้าวจากประเทศต่างๆ มากขึ้น มีการประเมินสถานะผู้ซื้ออย่างรัดกุม หลายรายไม่ร่วมเข้าประมูล เพราะไม่แน่ใจความสามารถในการรับซื้อข้าวที่เพียงพอ และอาจจะไม่รับคำสั่งซื้อปริมาณสูง เช่น ซี.พี.เองจะไม่พิจารณาส่งข้าวในระดับสูง 1 แสนตัน แต่รับคำสั่งซื้อขนาดกลางและขนาดเล็ก เป็นต้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook