กกต.มีมติโยน ปธ.ชี้ชะตา ปชป.

กกต.มีมติโยน ปธ.ชี้ชะตา ปชป.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
เทพเทือกยันไทย-กัมพูชาต้องอดทน

กกต.ขยับดูแฟ้มเงินบริจาค 258 ล้าน เสียงยังเห็นต่างลงมติลับโยนประธาน กกต. ชี้ชะตา เทพเทือก ปัดบุกกดดัน รัฐบาลเอาบ้าง ล่ามือดีลักลอบตัดสัญญาณเว็บลิงก์นายกฯมาร์ค วงจรปิดมัดชัด จอดรถเปิดตู้ตัดสาย เรียกสอบแล้วยังปฏิเสธ โวยมีขบวนการเชื่อมโยง เตรียมเดินหน้าสาวไส้ต่อ ศิวรักษ์ ขอลาบวช 20 ธ.ค. หวังเอาธรรมะ ล้างสิ่งไม่ดีพ้นชีวิต รอสึกแล้วค่อยคิดเรื่องฟ้องคดี เทพเทือก ยันสัมพันธ์ ไทย-เขมร ฟื้นยาก โยน ฮุนเซน ต้องปลดล็อก เป่า ทักษิณ พ้นประเทศก่อน ค่อยเริ่มเงื่อนไขเจรจาฟื้นความสัมพันธ์ กมธ.ต่างประเทศ เล็งเชิญ จิ๋ว และครอบครัวศิวรักษ์เข้าชี้แจง หวังไล่เรียงแผนจัดฉาก ปู่จิ้น โต้ฉายา คุณปู่สารพัดพิษ ยันไม่เคยทรยศใคร เสธ. แดง ลุยชน บิ๊กป๊อก ร้อง รมว. กห.เอาผิด

* ยากฟื้นสัมพันธ์ไทย-เขมร

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชาระบุว่าหากจะฟื้นความสัมพันธ์คงต้องรอรัฐบาลใหม่ว่า ตนคงไม่ตอบโต้อะไร เพราะขณะนี้ความสัมพันธ์ก็ไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อถามว่า รัฐบาลจะดำเนินการอะไร เพราะทางกัมพูชาถึงขนาดบอกว่าให้คนไทยขับไล่รัฐบาลนี้ หากต้องการเห็นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับกัมพูชาอีกครั้ง นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ต้องอดทน ซึ่งการที่เขาพูดวิพากษ์วิจารณ์อยู่ภายนอก ว่าไม่ชอบก็ทำให้เขาเสียหายไปเอง

เมื่อถามว่า รัฐบาลยังยึดเงื่อนไขสามข้อในการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาอีกหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า สาเหตุเริ่มมาอย่างนั้น ที่เราต้องเรียกทูตกลับและทบทวนเอ็มโอยูเพราะสาเหตุมาจากเรื่องนั้นก็ต้องไปแก้ก่อนรัฐบาลมีแนวคิดพร้อมที่จะส่งทูตกลับถ้าทุกอย่างได้รับการคลี่คลายตั้งแต่ต้น แต่ขณะนี้ชัดเจนว่า หากสมเด็จฮุนเซนไม่ลดราวาศอกก็ทำยาก

* โละแม้วได้ทางโล่งเจรจา

ผู้สื่อข่าวถามถึง กรณีที่มีข่าวว่าทางกัมพูชาเสนอว่า หากเราส่งทูตกลับไปประจำการที่กัมพูชา เขาจะส่งทูตกลับมาที่เมืองไทยภายใน 15 นาทีเช่นกัน นายสุเทพ กล่าวว่า เรายังไม่ส่งกลับ ต่อข้อถามแสดงว่าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ คือต่างคนต่างรอกันใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในเงื่อนไข เราก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็อยู่อย่างนี้ไปก่อน ผู้สื่อข่าวถามว่าการเปลี่ยนที่พูดถึงคือการยกเลิกการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาก่อนหรือไม่ นาย สุเทพ กล่าวว่า ที่นายกฯ พูดอย่างไรก็ต้องเริ่มต้นตรงนั้น

ต่อข้อถามว่า ทางกัมพูชาเรียกร้องอะไรมาถึงประเทศไทยบ้างหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่เห็นเรียกร้องอะไร เมื่อถามว่า ทางสมเด็จฮุนเซน อาจจะพูดผ่านสื่ออีกอย่าง แต่การติดต่อภายในระหว่างรัฐบาล เองมีการดำเนินการหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่เห็นว่ามีการติดต่อเป็นการภายใน

* เล็งเชิญ จิ๋ว แจงจัดฉาก

ที่พรรคประชาธิปัตย์ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงข่าวที่ระบุว่าคณะกรรมาธิการฯ ต้องการหาไอ้โม่ง ที่สั่งการให้นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ หาข้อมูลการเดินทางเข้าประเทศกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ไม่เป็นความจริง ที่ประชุมกรรมาธิการฯ ได้ถามหาคนสั่งการจริง แต่เมื่อนายอิศร ปกมนตรี เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า ไม่มีการสั่งการให้นายคำรบไปขอข้อมูล แต่ด้วยวิจารณญาณของข้าราชการในการปฏิบัติงานจึงโทรศัพท์เพื่อสอบถามข้อมูล และกระทรวง การต่างประเทศ ก็ไม่ได้เอาผิดทางวินัยกับนายคำรบ เพราะไม่มีผู้ใดร้องไป

น.ส.รัชดา กล่าวอีกว่า ที่ตนพูดไม่ได้ปกป้องพรรคประชาธิปัตย์ หรือต้องการให้เกิดความขัดแย้งกับนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยประธานกรรมา ธิการฯ นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการฯ ได้เสนอให้ที่ประชุมรับฟังข้อมูลทั้งสองฝ่าย โดยขอให้เชิญ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธาน พรรคเพื่อไทย นายศิวรักษ์ และนางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ เข้าให้ข้อมูลต่อที่ประชุม เพราะจะได้ทราบว่า จัดฉาก ล้วงข้อมูลหรือไม่ ซึ่งประธาน คณะกรรมาธิการฯ รับปากจะไปประสานให้

* ย้ำล่าแม้วภารกิจบัวแก้ว

ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า ตนยืนยันว่าการจารกรรมไม่ใช่หน้าที่ของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ แต่การที่สถานเอกอัครราชทูตไทยต้องติดตามข่าวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ถือเป็นหลักปฏิบัติโดยปกติ เนื่องจากกระทรวงฯ ได้มีคำสั่งให้สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกติดตามความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ต้องติดตามความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวเนื่องกับประเทศไทย ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

นายกษิต ยังระบุว่า ตนพร้อมจะ ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ แต่การมาวิพากษ์วิจารณ์ก่อนว่าตนปอดแหก ขี้ขลาดนั้น มันไม่ใช่การสร้างบรรยากาศของการให้ข้อมูลชี้แจง ตนต้องปรึกษากับ ส.ส. ของพรรคในคณะกรรมาธิการฯ ก่อนถึงความเหมาะสม ตนไม่กลัวไม่เกรงอะไรทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างทำไปบนโต๊ะด้วยความถูกต้อง และมีความห่วงใยคุณศิวรักษ์ ไม่ได้น้อยไปกว่าใครทั้งสิ้นในประเทศไทย

* กษิตไม่ว่างนั่งถกสุเทพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่าย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ได้เดินทางไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพบกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ โดยนายสุเทพใช้เวลาอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศนาน 20 นาที ทั้งนี้ นายสุเทพ เปิดเผยก่อนเดินทางกลับมายังทำเนียบรัฐบาลว่า ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับนายกษิต เพราะนาย กษิตติดภารกิจพบกับนายฟรอง คริวิเย รองผู้อำนวยการใหญ่คณะกรรมการมรดกโลกด้านวัฒนธรรม ขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เมื่อถามว่าได้รับรายงานกรณีที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ระบุว่ามีคนตัดสัญญาณเว็บลิงก์ของนายกฯ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบและยังไม่ได้รับรายงาน

* ล่ามือดีตัดสัญญาณนายกฯ

นายสาทิตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ได้รับรายงานว่ามีคนไปตัดสัญญาณในขณะที่นายกฯ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทยในระหว่างปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศผ่านวิดีโอลิงก์ว่า ได้รับรายงานดังกล่าวมานานแล้ว ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร และซีดีภาพที่ถูก บันทึกโดยวงจรปิด แต่จนถึงขณะนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับทางการสื่อสารแห่งประเทศไทย หรือ กสท ขณะนี้ได้แจ้งความแล้ว ภาพในซีดีภาพนั้นระบุชัดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเวลาใด มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดก่อนจะเปิดตู้ท่อพักของสายที่อยู่หน้าทำเนียบฯ แล้วตัดสาย ก่อนจะปิดฝาแล้วออกไป แต่เมื่อรายการนายกฯ ให้สัมภาษณ์จบ ก็กลับมาดำเนินการต่อสาย ก่อนจะกลับออกไปอีก

นายสาทิตย์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้เชิญคนที่อยู่ในภาพมาพูดคุยแล้ว ได้รับการชี้แจงว่าเขาเข้ามาตรวจสอบเท่านั้น แต่จะต้องเป็นประเด็นที่จะต้องถูกสอบสวนต่อไป ประเด็นที่จะสอบสวนเพิ่มเติมคือขณะที่บุคคลนั้นดำเนินการตัดสายมีการยกหู โทรศัพท์ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นการติดต่อไปที่ใด หรือติดต่อกับคนภายในทำเนียบหรือไม่ แต่ ชี้ให้เห็นว่ามีกระบวนการที่จะกลั่นแกล้งจริง ดังนั้นทำให้ฝ่ายรัฐบาลต้องระมัดระวังในแต่ละครั้งที่นายกรัฐมนตรีจะให้สัมภาษณ์กลับมาประเทศไทย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีก โดยไม่ใช้บริการของ กสท อีก แต่ไปใช้ผ่านระบบเว็บแคมแทน

* ให้ 100 แต้มผลงานตัวเอง

นายสุเทพ ให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานของรัฐบาลในรอบ 1 ปีว่า เรื่องนี้ต้องไปถามหัวหน้ารัฐบาลจะดีกว่า เมื่อถามว่าหากให้ประเมินผลงานรัฐบาลจะให้คะแนนเท่าไหร่ นายสุเทพ กล่าวว่า หากเป็นอาจารย์ตนจะให้เต็ม 100 คะแนน ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาล บริหารงานครบ 1 ปี ไปเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. มีแนวคิดที่จะปรับ ครม. หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่มี ต่อข้อถามแสดงว่า ก่อนหรือหลังการอภิปรายจะไม่มีการปรับ ครม. นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่มี

เมื่อถามว่า จุดอ่อนของรัฐบาลเช่นนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ยังไม่เห็นว่านาย กษิตทำอะไรเสียหาย ทุกอย่างยังทำได้ดี ต่อข้อถามว่า กรณีของนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ ถือเป็นเป้าฝ่ายค้านเพราะมีโครงการชุมชนพอเพียง รัฐบาลคิดว่าจะชี้แจงได้หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เมื่อถึงวันอภิปรายนายกอร์ปศักดิ์อาจจะขึ้นไปเป็นเลขาธิการนายกฯ แล้วก็เป็นได้

* 20 ธ.ค. ศิวรักษ์ขอลาบวช

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ตนได้รับแจ้งจากนางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดา นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยว่าบุตรชายเตรียมที่จะอุปสมบท ในวันที่ 20 ธ.ค. เวลา 07.00 น. ที่วัดป่าสุทธาราม อ.เมือง จ.นครราชสีมา เป็นเวลา 9 วัน โดยครอบครัวประสงค์ที่จะทำพิธีบวชอย่างเงียบ ๆ ส่วนเรื่องการฟ้องร้องต่อกระทรวงการต่างประเทศและนายคำรบ คงจะรอให้ผ่านงานบวชไปก่อนหลังจากนั้นครอบครัวนายศิวรักษ์คงจะตัดสินใจอีกที ส่วนความช่วยเหลือของพรรคเพื่อไทยถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว แต่จะยังทำหน้าที่ตรวจสอบในฐานะฝ่ายค้านผ่านทางคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

เมื่อถามถึงกรณีที่นายกฯ ตั้งข้อสังเกตว่ามีการดักฟังโทรศัพท์เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยพร้อมกับมี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเสนอให้ขู่ฟ้องกลับกัมพูชา นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์พยายามบิดเบือน ตนยืนยันว่าไม่มีการดักฟัง แต่เป็นข้อมูลที่บริษัทโทรศัพท์มีบันทึกการโทรฯ เข้าโทรฯ ออกตามปกติอยู่แล้ว กรณีนี้มีหลักฐานที่ไอ้โม่ง อักษรย่อ ก โทรศัพท์จากเมืองไทยไปหานายคำรบเพื่อสั่งการ ในช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปกัมพูชา แต่ตนจะไม่เปิดเผยรายละเอียดตอนนี้ ขอให้ใจเย็น ๆ อดทนรอการอภิปรายในสภา

* ชวรัตน์โต้ฉายาสารพัดพิษ

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาด ไทย กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิป ไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ตั้งฉายารัฐบาลว่า รัฐบาลเทพรับประทาน หมายถึงมีการพูดจาที่ดูดี แต่กลับเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดาของนักวิจารณ์ทางการเมือง เขา ก็ว่าเราในด้านไม่ดี ส่วนที่ตนได้รับฉายาว่า คุณปู่สารพัดพิษ เพราะเคยเป็นที่ไว้วางใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่กลับเปลี่ยนขั้วนั้น ต้องอธิบายว่า ตนเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นเพราะเข้ามาทำหน้าที่แทนนายอนุทิน ชาญวีรกูล ลูกชาย ตนไม่เคยคิดจะรับหน้าที่นี้ ส่วนที่ว่าตนสารพัดพิษ ตนก็ไม่ทราบอีกว่าตนมีพิษอะไร ตนอาจดูเหมือนเป็นงูตัวใหญ่ แต่ก็เป็นงูเหลือมไม่มีพิษ

* กกต.ขยับดูแฟ้ม258ล.ปชป. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกต.มีวาระในการพิจารณากรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ แต่จะสามารถลงมติได้หรือไม่นั้นก็ต้องขึ้นกับ กกต.ทั้ง 5 คนจะมองว่าข้อมูลครบถ้วนหรือไม่ ทั้งนี้ยืนยันว่าการพิจารณาของ กกต. นั้นไม่ได้ยื้อเวลาแต่อย่างใด โดยในคดีนี้มีพยานกว่า 50 ปากและมีเอกสารอีกเป็นจำนวนมาก และไม่ได้เป็นการกระทำสองมาตรฐานกับคดียุบพรรคพลังประชาชน เพราะคดีนี้เป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ต่างกัน โดยกรณีเงินบริจาคเป็นเรื่องข้อกฎหมายพรรคการเมือง แต่ในกรณีของพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบนั้นเนื่องมาจากการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. ด้านกิจการสืบสวนสอบสวน กล่าวว่า ตนยังไม่แน่ใจว่าเรื่องดังกล่าวจะสามารถลงมติได้ในวันนี้หรือไม่ เพราะมี กกต. ถึง 3 คนเพิ่งกลับจากต่างประเทศ และส่วนตัวยังเห็นว่ายังมีเอกสารทีม่ครบอีกบางอย่าง เช่น สำเนา เอกสารสำนวนการสืบสวนสอบสวนของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่หาก กกต.ทุกคนยืนยันว่าจะลงมติตนก็ต้องลงเช่นกัน

* ตั้งท่าดีแต่โยนเรื่องดึงเวลา

ทั้งนี้ นายสุทธิพล เปิดเผยผลการพิจารณาว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เสนอให้ กกต. ตรวจสอบการกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ จากสองกรณีคือ 1.กล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัทเมสไซอะ จำกัด 258 ล้านบาท โดยมีการทำสัญญาว่าจ้างจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ และ 2.มีการกล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช้จ่ายเงินจาก กกต. ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย และไม่ยื่นบัญชีต่อ กกต.

โดยที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากในการประชุมลับ ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบและทำความเห็น หากเห็นว่ามีความผิดก็ให้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมกกต. เพื่อขอความเห็นชอบ ซึ่งหากที่ประชุมเห็นชอบด้วยกับความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองก็ให้เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาในสามสิบวัน หากอัยการสูงสุดเห็นสมควรก็ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคต่อไป

* มติกกต.เห็นต่าง 3 แนวทาง

ผู้สื่อข่าวถามว่า มติดังกล่าวเป็นการโยนภาระให้กับนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือไม่ นายสุทธิพล กล่าวว่า คงสรุปเช่นนั้นไม่ได้ ซึ่งหากนายทะเบียนได้ตรวจสอบและมีความเห็นว่าพรรคการเมืองกระทำผิดตามมาตรา 94 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมืองก็จะต้องส่งเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง ผู้สื่อข่าวถามว่า นายทะเบียนมีกรอบระยะเวลาในการทำงานหรือไม่ เลขาธิการกกต. กล่าวว่า ไม่มีกรอบระยะเวลาการทำงานของนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่ทราบว่าจะรีบดำเนินการซึ่งนายทะเบียนคงไม่ยื้อเวลา

รายงานข่าวแจ้งว่า ในการนำเสนอรายงานผลการตรวจสอบของคณะกรรมการไต่สวนฯ ยังคงมีความเห็นเสียงข้างมาก 3 ต่อ 1 ต่อ 1 โดย 3 เสียง คือ นายประพันธ์ นัยโกวิท นางสดศรี สัตยธรรม และนายสมชัย จึงประเสริฐ ให้ส่งเรื่องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองลงความเห็น ส่วนนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.เห็นควรให้ยกคำร้อง และนายวิสุทธิ โพธิแท่น เห็นว่า ควรเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค

* สุเทพปัดเข้ากดดัน กกต.

นายสุเทพ กล่าวก่อนเข้าชี้แจงต่อ คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่พรรคเพื่อไทยร้องขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจว่า ที่ตนเดินทางมา กกต. เพื่อชี้แจงกรณีแทรกแซงการแต่งตั้งข้าราช การตำรวจ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งประธานอนุกรรมการไต่สวนได้เชิญให้ตนมาชี้แจงในวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ตนติด ธุระทางราชการไม่สามารถมาชี้แจงในวันดังกล่าวได้ จึงมาชี้แจงในวันที่ 17 ธ.ค. แทน

เมื่อถามว่า ที่มาวันนี้เป็นการกดดันการลงมติกรณีเงิน 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ ได้เป็นการกดดัน ถ้าไม่เชื่อเดินตามผมไปดูได้เลย และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับตนให้คนที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเขาต้องชี้แจงไป และหาก กกต. เห็นว่าผิดส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ก็เชื่อว่าไม่กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ก็ว่ากันไปตามกฎกติกา

* เสธ.แดงลุยชน บิ๊กป๊อก

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณ วุฒิกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่จะยื่นหนังสือให้มีการสอบสวน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ว่า ในวันที่ 18 ธ.ค. ตนจะเดินทางไปยื่นหนังสือพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว. กลาโหม ให้มีการสอบสวน พล.อ.อนุพงษ์ ที่มีฐานความผิดเดียวกับตน คือ ผิดกฎหมาย อาญาทหารมาตรา 32 คือ การข่มขู่ผู้บังคับบัญชา จากครั้งที่ พล.อ.อนุพงษ์ ข่มขู่ให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ยุบสภา นอกจากนี้ ผบ.ทบ.ยังมีความผิดใน 4 กรณีคือ 1.การปฏิวัติ 2.การจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร 3.การวางแผนปราบม็อบวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา และ 4.ไม่วางตัวเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งทุกอย่างมีเอกสารหลักฐานทั้งสิ้น

เมื่อถามถึงกรณีที่มีความเป็นห่วงว่า จะเกิดเหตุร้ายในช่วงปีใหม่ พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า คาดว่า ในช่วงปีใหม่นี้จะไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไร และหากเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นแสดงว่า มีคนต้องการใส่ร้ายว่าเป็นการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ตนเชื่อว่า ในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า จะเกิดสงครามครั้งใหญ่แน่ เพราะประชาชนไม่ต้องการความ อยุติธรรม ไม่ต้องการแผ่นดินที่ใช้ 2 มาตร ฐาน เพราะประชาชนมองว่า มีการเล่นงาน นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ และ พ.ต.ท.ทักษิณ เกินกว่าเหตุ.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook