"ปุ่น-ป๊อบ" คู่ซี้ 2 ป. นายทหารฝั่งประชาธิปไตย

"ปุ่น-ป๊อบ" คู่ซี้ 2 ป. นายทหารฝั่งประชาธิปไตย

"ปุ่น-ป๊อบ" คู่ซี้ 2 ป. นายทหารฝั่งประชาธิปไตย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในทำเนียบรัฐบาลมีพี่น้องนายทหาร 3 ป. ฝ่ายค้านเองก็มีคู่ซี้นายทหาร 2 ป. เช่นกัน นั่นคือ "ผู้การป๊อบ" น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศ และการสื่อสาร และอดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่ปัจจุบันเป็น ส.ส. กทม. เขตสายไหม กับเพื่อนซี้ "ผู้พันปุ่น" น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีต ส.ส. กทม. เขตคลองเตย ที่ปัจจุบันมาร่วมก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทยกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการอำนวยการและพัฒนาพรรค 

เริ่มต้นมิตรภาพของ 2 ป. ผู้การป๊อบและผู้พันปุ่น จากโรงเรียนนายเรืออากาศ โดยทั้งคู่อายุห่างกันเพียงไม่กี่เดือน จึงเข้าเรียนรุ่นติดกันคือ รุ่น 23 และ 24 ตามลำดับ ตั้งแต่สมัยอายุ 18 ปี รวมระยะเวลาตอนนี้ก็เกือบ 40 ปี น.ต.ศิธา เปิดเผยว่าพวกเขาเป็นนายทหารอากาศรุ่นใหม่กลุ่มแรกที่ได้บิน F16 และมีโอกาสได้ไปฝึกการบินผลัดใกล้ๆ กัน ไปกินไปเที่ยวอยู่ก๊วนเดียวกันมาตลอด 

โมเมนต์แรกที่รู้จักกัน

น.ต.ศิธา เล่าว่า ความรู้สึกแรกที่เห็นหน้าคือ "หน้าฝรั่งมาเป็นทหารได้ไงวะ? หน้าฝรั่ง ผมออกทองแบบแดงๆ หน่อย" พร้อมเล่าต่อว่าแต่เรื่องเสน่ห์และความหล่อจะไม่ทับไลน์กัน เพราะตัวเองจะได้ความนิยมในเมือง ส่วนพี่ป๊อบจะได้รับความนิยมจากต่างจังหวัด เนื่องจากชอบใช้คารมที่น้ำเน่าแบบ "ถึงน้ำเน่ายังมีเงาจันทร์ แต่ใยฉันไม่มีเงาเธอ" น.ต.ศิธา หัวเราะ แต่ทีเด็ดของ น.อ.อนุดิษฐ์ คือการเล่นดนตรีร้องเพลง พอจับไมค์ สาวๆ ก็กรี๊ดกร๊าด ถึงขนาดบาร์ที่หาดใหญ่จ้างให้ไปร้องเพลงในร้านเป็นรายได้พิเศษ

ส่วน น.อ.อนุดิษฐ์ เล่าว่า เขารู้จัก น.ต.ศิธา มาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะตัวเองจบโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วได้ยินรุ่นน้องมาเล่าให้ฟังมามีเด็กเตรียมอุดมฯ มาจีบเด็กสาธิตเกษตรฯ ซึ่งถือเป็นการเสียดุล เจอหน้ากันในโรงเรียนนายเรืออากาศก็เลยได้ทีรับน้องสักหน่อย เช่น สั่งขัดรองเท้า สั่งวิดพื้น แต่ในทางกลับกัน น.ต.ศิธา บอกว่านี่แหละคือสิ่งที่รุ่นน้องต้องการ เพราะจะได้ไม่ต้องไปฝึกตอนเช้า แต่มานั่งขัดรองเท้าแทน สบายกว่า  

ซึ่งสมัยเรียนทั้งคู่ก็ต่างเป็นเด็กกิจกรรม น.อ.อนุดิษฐ์ อยู่วงดุริยางค์ ส่วน น.ต.ศิธา เป็นนักกีฬา

จุดเริ่มต้นในเส้นทางการเมือง

น.ต.ศิธา เล่าว่าสมัยเรียน เราก็ต่างรู้กันว่า พ่อของ น.อ.อนุดิษฐ์ เป็นอดีตนักการเมืองใหญ่ อนาคตเขาก็ต้องลาออกไปทำงานการเมือง จน น.อ.อนุดิษฐ์ มาบอกว่า เขาอาจต้องไปทำงานการเมือง ขอให้ตัวเองเป็นทหารต่อ แยกสายกันเดิน แต่พอช่วงเวลาผ่านไปสักพัก ตัวเองได้ไปฟัง ทักษิณ ชินวัตร พูดแล้วประทับใจก็เลยไปยื่นใบสมัครพรรคไทยรักไทย น.อ.อนุดิษฐ์ ก็เลยบอกว่า งั้นสลับกันก็ได้ พี่จะอยู่ในกองทัพเอง 

จนเวลาผ่านไป ตัวเองก็เลยไปชวน น.อ.อนุดิษฐ์ ให้มาทำการเมืองอีกครั้ง พร้อมให้เหตุผลว่า การเติบโตในกองทัพมันจะเป็นไปตามลำดับอาวุโส แต่ในสนามการเมืองเหมือนการแข่งรถรอบโอเพน ที่ใครจะขึ้นมาก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถ 

ประกอบกับตอนนั้น น.อ.อนุดิษฐ์ ก็คิดว่าถ้าเข้ามาทำงานการเมืองก็น่าจะสร้างประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้มากกว่าเป็นทหาร จึงตัดสินใจมาสมัครพรรคไทยรักไทย และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. กทม. ในเวลาต่อมา

เมื่อถามว่าการมาเป็นทหารฝั่งประชาธิปไตยต้องแลกกับอะไรไปบ้าง? น.ต.ศิธา ตอบว่า การเป็นทหารเลว เพราะทหารที่ปล้นประชาธิปไตยเขาบอกเป็นทหารดี ทหารที่ลาออกมาลงเลือกตั้งเขาเรียกว่าทหารเลว เวลาเขารัฐประหารเขาก็เลยจับเราจับไปขังซะ 7 วัน ในห้องแมลงสาบ ขณะที่ น.อ.อนุดิษฐ์ ก็โดนเรียกไปปรับทัศนคติ 2 ครั้ง

ความในใจจากเพื่อนซี้ 2 ป. ถึงรุ่นพี่ 3 ป.

น.อ.อนุดิษฐ์ พูดอย่างเต็มปากว่า เกลียด ไม่ชอบเรื่องของการปฏิวัติ รัฐประหาร พร้อมพูดต่อว่า เราก็พยายามเป็นตัวอย่าง แล้วก็ยังเชิญชวนหลายๆ คนด้วย บอกว่าถ้าเราเป็นทหารแล้วเราอยากเป็นนักการเมือง อย่าไปเลือกปฏิวัติ อย่าไปยึดอำนาจ ถ้าเกิดอยากจะเป็นนักการเมือง ให้พี่น้องประชาชนเขาเลือก แล้วเราจะภาคภูมิใจด้วย ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่า สถาบันที่จบมา สถาบันทหารเขาไม่ได้สอนให้ไปทำอะไรที่มันไม่ถูกต้อง 

"คนที่เขาไปรวมหัวกันแล้วเอากองทัพมาปล้นอำนาจประชาชน...คือเด็กๆ ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ...สงสัยคนพวกนี้สะกดจิตตัวเอง...สิ่งที่ตัวเองทำอยู่เนี่ยเป็นสิ่งที่เป็นคุณูปการให้แก่ประเทศ ช่วยประเทศ สะกดจิตตัวเอง แล้วพอเข้ามาเสร็จปุ๊บ ทำอะไรก็แล้วแต่ พวกคุณต้องขอบคุณผมด้วยนะ พูดแบบนี้" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

น.ต.ศิธา กล่าวเสริมว่า จริงๆ แล้วไม่สะกดจิตตัวเอง แต่คนแวดล้อมสะกดจิต แล้วก็ถ่ายทอดในสิ่งที่เขาอยากจะฟัง ดูจากที่ลืมปิดคอมเมนต์ วันก่อนลืมปิดคอมเมนต์ไป 2 ชั่วโมง โดนไปห้าหมื่นกว่าคอมเมนต์ ปิดแทบไม่ทัน แล้วก็ไม่รู้สึกรู้สา เฉยๆ    

อย่างไรก็ตาม น.ต.ศิธา ย้ำว่า ทหารดีมีอยู่จริง และยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่เฉพาะทหารอย่างเดียว แต่ข้าราชการทั้งหมดกว่า 90% เขาอยากทำงานแบบมืออาชีพ เป็นทหารก็เป็นทหารอาชีพ เป็นข้าราชการก็ทำงานรับราชการแบบมืออาชีพ 

"แต่จะมีแค่ส่วนน้อยต้องการที่จะแสวงหาอำนาจโดยใช้ทรัพยากรของประเทศ ใช้ปืน ใช้รถถัง ใช้กำลังคน ในการที่จะไปยึดอำนาจ ในการที่จะปล้นอำนาจของเราไป ซึ่งกระบวนการปัจจุบันเขาใช้วิธีการที่จะไปสร้างความขัดแย้งให้กับพี่น้องประชาชน จนกระทั่งมันไปไหนไม่ได้ พอไปไหนไม่ได้ คนก็เริ่มรู้สึกว่าอย่างนี้มันต้องมีกลไกอะไรสักอย่างที่จะมา Overrule หรือมาขจัดตรงนี้ออกไปเพื่อจะให้ประเทศมันเดินต่อไปได้ เขารอไปสร้างสถานการณ์ไปถึงจุดแบบนั้น" น.ต.ศิธา กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อไปว่า ขนาดพวกเขาเติบโตมาเป็นข้าราชการอยู่ในกระทรวงกลาโหม ยังไม่สามารถที่จะบริหารกระทรวงกลาโหมให้มีประสิทธิภาพได้ แต่พอวันหนึ่งมาปฏิวัติรัฐประหาร แล้วมาควบคุมกำกับดูแลทุกกระทรวงทบวงกรม ก็กระทรวงกลาโหมคุณยังล้มเหลว แล้วเขาจะเอาความรู้ความสามารถอะไร ในการที่จะไปบริหารราชการในกระทรวงอื่นๆ รัฐราชการแบบเบ็ดเสร็จนี้น่ากลัวที่สุด เพราะว่าใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญแสวงหาผลประโยชน์กัน

"คืนระบอบประชาธิปไตยที่มันควรจะเป็นให้กับประเทศได้ไหม แม้วันนี้เราบอกเรามีรัฐธรรมนูญแล้ว พี่น้องประชาชนตั้งเยอะแยะเกินครึ่งก็เป็นคนรับรองรัฐธรรมนูญเอง แต่จริงๆ มันไม่ใช่ คือ กลไกที่มันผูกเงื่อนปม วางทุ่นระเบิดไว้ มันจะเป็นกติกาซึ่งเอามาขับเคลื่อนประเทศให้อยู่ภายใต้อำนาจของคนกลุ่มนี้ แล้วสุดท้ายปลายทาง นายทุน ขุนศึก เขาก็มีความสุข คนส่วนใหญ่ คนตัวเล็ก เจ๊งหมด" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook