เปิดคำร้อง เผยพฤติการณ์ 6 ตำรวจห้วยขวาง รีดไถเงินก๊วนดาราไต้หวัน ศาลไม่ให้ประกัน

เปิดคำร้อง เผยพฤติการณ์ 6 ตำรวจห้วยขวาง รีดไถเงินก๊วนดาราไต้หวัน ศาลไม่ให้ประกัน

เปิดคำร้อง เผยพฤติการณ์ 6 ตำรวจห้วยขวาง รีดไถเงินก๊วนดาราไต้หวัน ศาลไม่ให้ประกัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ศาลไม่ให้ประกัน 6 ตำรวจห้วยขวาง รีดเงินก๊วนดาราไต้หวัน ชี้เป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อภาพลักษณ์ หวั่นยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนตลิ่งชัน พนักงานสอบสวน นำตัว 6 ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ไปยื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลเป็นเวลา 12 วัน ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการ หรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” อันเป็นความผิดตามมาตรา 149, 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

กรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันได้ลงข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ว่าได้นั่งรถยนต์โดยสารสาธารณะกับเพื่อนเพื่อเดินทางกลับโรงแรม ระหว่างท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ของวันที่ 5 มกราคม 2566 เวลาประมาณ 02.00 น.ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจหน้าสถานทูตจีนประจำประเทศไทย บริเวณถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ ได้เรียกตรวจค้นและพบว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในความครอบครอง เรียกรับเงินสดเป็นจำนวน 27,000 บาท แล้วปล่อยตัวแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา

ตามคำร้อง ระบุว่า วันที่ 5 มกราคม 66 เวลา 00.01 น. เจ้าพนักงานตำรวจทั้งหกนายที่ถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านอยู่บริเวณถนนรัชดาภิเษก หน้าสถานทูตจีนประจำประเทศไทย แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร จนกระทั่งเวลาประมาณ 02.27 น. มีนายเป จิง ซือ หรือ สกาย สัญชาติสิงคโปร์ กับพวกรวม 4 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน โดยสารรถยนต์ยี่ห้อมาสด้าสีแดง คันหมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร มาถึงบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งผู้ต้องหากับพวกตั้งด่านอยู่ มีสิบตำรวจเอก ล. ผู้ต้องหาที่ 5 เป็นผู้คัดรถยนต์เข้ามาให้สิบตำรวจเอก ว. ผู้ต้องหาที่ 6 ตรวจค้นบุคคลในรถ ผู้ต้องหาทั้งหกเชิญนายเป จิง ซือ ลงจากรถเพื่อค้นตัว สิบตำรวจเอก น.ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นผู้ค้นตัว ส่วนเพื่อนของ นายเป จิง ซือ อีก 2 คน ถูกกลุ่มผู้ต้องหาค้นตัว การตรวจค้นพบบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 3 อัน

สิบตำรวจเอก น.ผู้ต้องหาที่ 3 กับร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 พูดคุยสอบถาม เพื่อขอดูหนังสือเดินทางและวีซ่าจากนายเป จิง ชื่อ กับพวก ขณะนั้นนายเป จิง ซือ กับพวก ไม่ได้พกหนังสือเดินทางติดตัวมาด้วย มีเพียงภาพถ่ายหนังสือเดินทางในโทรศัพท์มือถือ สิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 กับร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 พยายามพูดจาข่มขู่ นายเป จิง ซือ กับพวก ว่ากระทำความผิดโดยครอบครองบุหรี่ไฟฟ้ากับไม่พก
หนังสือเดินทางพร้อมวีซ่า อ้างว่าจะพาไปสถานีตำรวจทั้งที่ไม่มีเจตนาที่ จะพาไปจริงกลับข่มขู่ให้นายเป จิง ซือ กับพวก เกิดความกลัว จนกระทั่งสิบตำรวจเอก น.ผู้ต้องหาที่ 3 กับร้อยตำรวจเอก ป.ผู้ต้องหาที่ 2 ปรึกษาและตกลงกันเรียกเงินจากนายเป จิง ซือกับพวก เป็นเงิน 27,000 บาท แบ่งเป็น ค่าที่พกบุหรี่ไฟฟ้าอันละ 8,000 บาท ทั้งหมด 3 อัน และค่าไม่พกหนังสือเดินทางอีก 3,000 บาท

นายเป จิง ซือ ยืนยันว่า ตนกับพวกไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพราะบุหรี่ไฟฟ้าที่ตนกับพวกซื้อจากร้านที่วางขายของย่านห้วยขวางไม่ผิดกฎหมาย แต่ด้วยความกลัวและเกรงว่าจะเสียเวลานายเป จิง ซือ และนางสาวซาลีน หรือ อันชิง ชาวไต้หวันจะเดินทางกลับต่างประเทศในคืนวันเกิดเหตุ จึงจำยอมจ่ายเงินจำนวน 2,7000 บาท ให้กับสิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นผู้รับเงินใส่ในกระเป๋าเสื้อนอก นายเป จิง ซือ กับพวก ถามสิบตำรวจเอก ป.ว่าตนกลับได้หรือไม่ สิบตำรวจเอก น.ผู้ ต้องหาที่ 3 บอกว่า ต้องสอบถาม ร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 ก่อน

ผู้ต้องหาที่ 3 และผู้ต้องหาที่ 2 เดินมายังนายเป จิง ซือ กับพวก พร้อมยื่นบุหรี่ไฟฟ้าที่ยึดไว้ในตอนแรกให้นายเป จิง ซือ กับพวก ถือไว้คนละอัน โดยร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้สั่งให้สิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 ใช้ไฟฉายส่อง ขณะสิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 ถ่ายรูปเพื่อให้แสงสว่างในการถ่าย จากนั้นร้อยตำรวจเอก ป. ผู้ต้องหาที่ 2 ก็อนุญาตให้นายเป จิง ซือ กับพวกกลับไปได้

ภายหลังสิบตำรวจเอก น. ผู้ต้องหาที่ 3 นำเงิน 27,000 บาท ที่ได้รับจากนายเป จิง ชื่อ มอบให้กับร้อยตำรวจเอก ย. ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดที่นั่งในรถที่จอดไว้บริเวณที่เกิดเหตุรับเงินจำนวนดังกล่าวแล้วนำไปแบ่งในกลุ่มผู้ต้องหาด้วยกัน 

โดยศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตฝากขังได้ต่อมาผู้ต้องหาทั้ง 6 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว

ล่าสุด มีรายงานว่า ศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว กรณีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อภาพลักษณ์และกระบวนการยุติธรรมของประเทศโดยรวม อีกทั้งจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจอาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและกระบวนการในชั้นสอบสวน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้าน จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ให้ยกคำร้อง จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวผู้ต้องหาไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook