ผู้เชี่ยวชาญพิเศษศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ย้ำกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเตรียมพร้อมระบบ

นายมนัส ทรงแสง ผู้เชี่ยวชาญพิเศษศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เนื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จึงได้ตระหนักถึงการเกิดเหตุเป็นอย่างดี เพราะการเกิดเหตุแต่ละครั้งความเสียหายจะสูงมากทั้งชีวิต ทรัพย์สิน รวมถึงระบบการสื่อสารต่าง ๆ ที่จะไม่สามารถใช้งานได้ ดังนั้นทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงต้องเตรียมการตามนโยบายการเตรียมพร้อมแห่งชาติ ที่รับผิดชอบดูแลข่ายสื่อสารเพื่อทำให้ข่ายสื่อสารสามารถติดต่อได้ทุกสถานการณ์ ซึ่งตอนนี้มีทั้งข่ายสื่อสารหลักและข่ายสื่อสารสำรอง ซึ่งข่ายสื่อสารหลักจะต้องมีความถี่กลางร่วม โดย กทช.เป็นผู้กำหนด เพื่อใช้ในการติดต่อระหว่างหน่วยงาน และในการซ้อมแผนเผชิญเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติที่กำหนดจัดขึ้นในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ระหว่างวันที่ 23 - 25 มิถุนายน 2553 ก็จะใช้ความถี่กลางมีระบบสื่อสารให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้สั่งการ ณ ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจซึ่งจะตั้งอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดในการประสานสั่งการต่าง ๆ ในพื้นที่ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมถึงความทันสมัยของเครื่องมือเตือนภัยในปัจจุบันว่า ทางศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้รับข้อมูลเตือนภัยจากเว็ปไซด์ของต่างประเทศ นอกจากนี้ในประเทศก็จะมีข้อมูลจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรธรณีวิทยา เป็นต้น ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีเครื่องมือวัดแล้วก็แจ้งมาที่ศูนย์เตือนภัย จากนั้นศูนย์เตือนภัยก็จะทำหน้าที่วิเคราะห์ว่าเหตุการณ์ไหนจะต้องเตือน เหตุการณ์ไหนจะต้องให้เฝ้าระวัง ยกตัวอย่างเช่น หากมีเหตุการณ์ที่ต้องเกิดว่าอาจจะเกิดสึนามิ ทางศูนย์เตือนภัยฯ ก็จะกดสัญญาณจากหอเตือนภัยผ่านไปยังดาวเทียมอินมาร์แซ็ก แล้วลงไปยังหอเตือนภัยที่มีการติดตั้งไว้ทั่วประเทศให้ประชาชนได้อพยพหลบหนีได้ทันเวลา นอกจากนี้ข่ายสื่อสารสำรองก็คือเครือข่ายภาคประชาชนที่เป็นอาสาสมัครร่วมเตือนภัยมีจำนวนกว่า 3 แสนคน ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ จะทำหน้าที่สังเกตการณ์ในพื้นที่เพื่อแจ้งเตือนภัยได้ทันท่วงที