ศาลสั่งจำคุก กฤษณ์ ณรงค์เดช 44 เดือน ไม่รอลงอาญา คดียักยอกทรัพย์

ศาลอาญาชั้นต้นพิพากษาจำคุก 44 เดือน กฤษณ์ ณรงค์เดช ไม่รอลงอาญา ด้านจำเลยขอประกันตัวต่อสู้ชั้นอุทธรณ์
เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ศาลแขวงพระนครใต้ ศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาจำคุกนายกฤษณ์ ณรงค์เดช 44 ปี จากคดีที่นายณพ ณรงค์เดช เป็นโจทก์ และนายกฤษณ์ ณรงค์เดช กับพวกรวม 3 คน เป็นจำเลยในฐานความผิดยักยอก ค่าเช่าที่ดินที่จังหวัดสมุทรปราการ มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท ในคดีอาญา อ.1662/2566
โดยบรรยากาศในห้องพิจารณาคดีคู่กรณี ทั้งนายณพ ณรงค์เดช (โจทก์) และฝั่งของนายกฤษณ์ ณรงค์เดช และบริษัท CBNB กับพวกรวม 3 คน (จำเลย) มีสีหน้าที่เคร่งเครียด จากการบอกเล่าคดีดังกล่าว มีการฟ้องร้องเมื่อปีที่ผ่านมา โดยหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาสั่งจำคุกนายกฤษณ์ ณรงค์เดช 44 เดือน ไม่รอลงอาญา โดยจำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวในวงเงิน 400,000 บาท และขอต่อสู้คดีต่อไปในชั้นศาลอุทธรณ์ต่อไป
ด้านนายณพ อธิบายสรุปคำฟ้องว่า คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช มารดาของโจทก์ขณะมีชีวิตอยู่ได้มีการนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณตำบลศีรษะจรเข้ใหญ่ กิ่งอำเภอบางเสาธง จังหวัด สมุทรปราการ ออกให้บุคคลภายนอกเช่า
รวมถึงได้ให้บริษัท โทลล์ โลจิสติก จำกัด เช่า โดยได้รับค่าเช่า หลังจากที่คุณหญิงพรทิพย์ ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว เมื่อวันที่15 ก.พ.59 ต่อมา จำเลยที่1 โจทก์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินผืนดังกล่าว จำเลยที่ 1ไม่เคยทำบัญชีทรัพย์มรดกและไม่นำเงินส่วนแบ่งค่าเช่าและค่าเช่าช่วงมอบให้โจทก์ตามสิทธิทั้งในฐานะทายาทและในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินข้างต้น โดยโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 1 จัดทำบัญชีทรัพย์มรดก และแบ่งปันทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นแต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย
ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 เจตนาเบียดบังเอาค่าเช่าและค่าเช่าช่วงที่โจทก์มีสิทธิได้รับเป็นของตนและบุคคลอื่นโดยทุจริตโดยโจทก์มิได้ยินยอม ทั้งนี้จำเลยที่ 2-3 ต่างก็ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นอย่างดีแต่ก็ยังสมคบกับจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบเงินตามสิทธิที่โจทก์มีสิทธิได้รับให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามมีเจตนาทุจริตยักยอกทรัพย์คือเงินค่าเช่า โจทก์รวมเเล้วหลายครั้งเป็นเงินกว่า 35 ล้านบาท เเเละขอให้นับโทษต่อจากคดีในศาลนี้ที่เคยพิพากศาลงโทษจำคุกไม่รอลงอาญาไว้ 12 เดือน
ด้านนายพิชา ป้อมค่าย ทนายความส่วนตัวของนายกฤษณ์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นเรื่องในครอบครัวและมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ให้บริษัทเช่าช่วง แล้วมีเงินค่าเช่าเข้ามาสู่บัญชีบริษัท และกองมรดก ไม่ได้จ่ายเข้าบัญชีนายกฤษณ์ จะต้องไปสู้กันในรายละเอียดที่ศาลสูงต่อไป