“ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” vs “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ชื่อตำแหน่งแทบไม่ต่าง แต่จริงต่างกันมาก

เปรียบเทียบชัดๆ “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” vs “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ต่างกันอย่างไร? รัฐบาลแพทองธารมีทั้งสองแบบ
เมื่อรัฐบาลใหม่อย่าง “รัฐบาลแพทองธาร” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ หลายคนอาจสังเกตเห็นรายชื่อบุคคลที่ปรากฏในข่าวหรือเอกสารราชการที่ขึ้นต้นว่าเป็น “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” บ้าง หรือ “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” บ้าง ซึ่งแม้จะดูคล้ายกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองตำแหน่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่กฎหมาย บทบาท หน้าที่ และสถานะในระบบราชการ
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น Sanook News ขออธิบายและเปรียบเทียบความแตกต่างของสองตำแหน่งนี้อย่างชัดเจน
“ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” คืออะไร?
“ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” เป็นตำแหน่งข้าราชการการเมืองตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 ซึ่งมีสถานะทางกฎหมายชัดเจน การแต่งตั้งต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา
คุณสมบัติและหน้าที่:
-
ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายต่อ “นายกรัฐมนตรี” โดยตรง
-
มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมบางประเภทในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ
-
สามารถมีได้ไม่เกิน 5 คน ต่อ 1 นายกรัฐมนตรี (ตามกฎหมาย)
ค่าตอบแทน:
-
ได้รับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่นเดียวกับข้าราชการการเมือง
-
ปัจจุบันได้รับเงินเดือน 71,230 บาทต่อเดือน (ตามประกาศคณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทนข้าราชการการเมือง)
“ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” คืออะไร?
แม้ชื่อจะใกล้เคียงกัน แต่ “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ไม่ได้มีสถานะเป็นข้าราชการการเมือง และไม่ได้มีฐานะทางกฎหมายตายตัว เป็นตำแหน่งที่แต่งตั้งขึ้นโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี เพื่อให้คำปรึกษาเฉพาะทางตามดุลยพินิจ โดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ลักษณะเฉพาะ:
-
ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้อย่างเป็นทางการ
-
นายกรัฐมนตรีสามารถแต่งตั้งกี่คนก็ได้
-
ใช้เพื่อให้คำแนะนำในประเด็นเฉพาะ หรือโครงการเฉพาะกิจ
ค่าตอบแทน:
-
ไม่ได้รับเงินเดือนแบบข้าราชการการเมือง
-
ในบางกรณี อาจได้รับค่าตอบแทนพิเศษ เบี้ยประชุม หรือเบี้ยเลี้ยง ตามความเหมาะสมที่นายกรัฐมนตรีกำหนด
ตารางเปรียบเทียบชัดๆ
ประเด็น | ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี | ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี |
---|---|---|
สถานะ | ข้าราชการการเมือง | ไม่มีสถานะตามกฎหมาย |
การแต่งตั้ง | นายกรัฐมนตรีเสนอ ครม. เห็นชอบ | แต่งตั้งโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี |
ต้องประกาศในราชกิจจาฯ | ต้องประกาศ | ไม่ต้องประกาศ |
ค่าตอบแทน | ได้รับเงินเดือนประจำ | อาจได้รับ หรือไม่ได้รับเลย |
จำนวนสูงสุด | ไม่เกิน 5 คน | ไม่จำกัด |
บทบาทหน้าที่ | ให้คำปรึกษาด้านนโยบายระดับชาติ | ให้คำปรึกษาเฉพาะด้าน |
ทำไมถึงมีทั้งสองตำแหน่ง?
การมีทั้ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” และ “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ทำให้นายกรัฐมนตรีสามารถดึงผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขามาช่วยคิด วิเคราะห์ และผลักดันนโยบายได้คล่องตัวมากขึ้น โดยไม่ติดกรอบการแต่งตั้งตามระบบราชการการเมืองทั้งหมด เช่น อาจแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ นักเทคโนโลยี หรือนักกิจกรรมทางสังคม ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นเฉพาะ
ยกตัวอย่างในรัฐบาลแพทองธาร
ณ วันที่ 5 เมษายน 2568 มีการรายงานจากสื่อหลายแห่ง ว่ารัฐบาลแพทองธารได้แต่งตั้งทั้ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” และ “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” แล้ว โดยบางคนได้รับการแต่งตั้งเป็น “ข้าราชการการเมือง” และมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ขณะที่อีกกลุ่มเป็นบุคคลใกล้ชิดที่มีบทบาทสนับสนุนแนวคิดหรือนโยบายบางอย่างของนายกฯ โดยไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ
ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
-
พันศักดิ์ วิญญรัตน์ - ประธานคณะที่ปรึกษานโยบาย
-
สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
-
ศุภวุฒิ สายเชื้อ
-
ธงทอง จันทรางศุ
-
พงศ์เทพ เทพกาญจนา
นอกจากนี้ยังมี ชัยเกษม นิติสิริ และ สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในฐานะข้าราชการการเมือง
ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี
-
จิรายุ ห่วงทรัพย์ - ด้านการประชาสัมพันธ์
-
ธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส - ด้านกฎหมาย
-
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - อดีตโฆษกรัฐบาลและนักการเมือง
สรุป
แม้ชื่อจะคล้ายกัน แต่ “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” และ “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” มีความต่างกันชัดเจนในด้านกฎหมาย อำนาจหน้าที่ การแต่งตั้ง และสิทธิประโยชน์ การแยกแยะให้ถูกต้องไม่เพียงช่วยให้เข้าใจโครงสร้างรัฐบาลได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้เราติดตามการเมืองไทยอย่างมีวิจารณญาณและรอบด้านมากยิ่งขึ้น