มท.1 ล้อมคอกไหม้ ซานติก้า สั่งร่างกฎกระทรวงคุมอาคารสถานบริการ คาด 3 สัปดาห์รู้คนผิด

มท.1 ล้อมคอกไหม้ ซานติก้า สั่งร่างกฎกระทรวงคุมอาคารสถานบริการ คาด 3 สัปดาห์รู้คนผิด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
รมว.มหาดไทย สั่งร่างกฎกระทรวงควบคุมอาคารที่ใช้เป็นสถานบริการ ล้อมคอกไฟไหม้ซานติก้า คิดดึงอำนาจให้ฝ่าย ปค.เพิกถอนใบอนุญาตรายที่ผิด กม. จงรัก เผยอีก 3 สัปดาห์รู้แน่ใครผิด ปรับฮวงจุ้ยห้องผกก.สน.ทองหล่อแก้เคล็ด มาอยู่ไม่นานก็เกิดเรื่องตายเยอะแยะ

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมป้องกันสถานการณ์อุบัติภัยเพลิงไหม้ หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้สถานบริการซานติก้า ผับย่านเอกมัย มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 64 ราย เมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่กระทรวงมหาดไทย โดยมี นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) และตัวแทนจากกรมโยธาธิการและผังเมือง เข้าร่วม

นายชวรัตน์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า มีข้อเสนอแนะถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาสถานบริการ เนื่องจากตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารได้กำหนดควบคุมดูแลอาคาร 9 ประเภท แต่ไม่มีเรื่องของสถานบริการ จึงได้ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กรมการปกครอง กทม. เพื่อร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับการควบคุมอาคารที่ใช้เป็นสถานบริการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้าง วัสดุอุปกรณ์ ประตูทางเข้า-ออก ทางหนีไฟ และสัญญาณเตือนไฟที่จะติดตั้งโดยมีกำหนดให้ร่างกฎหมายเสร็จภายใน 1 เดือน จากนั้นนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ สำหรับสถานบริการที่ก่อสร้างมาก่อนกฎกระทรวงนี้จะประกาศใช้ อาจจะต้องมีข้อกำหนดให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงภายในเวลาที่กำหนดหลังจากที่กฎกระทรวงประกาศใช้ เพราะตามปกติกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังกับผู้ที่ดำเนินการมาก่อนแล้ว

นายชวรัตน์กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการระหว่างรอร่างกฎกระทรวงนี้ ได้มอบหมายให้ทางจังหวัดและอำเภอจัดประชุมผู้ประกอบการเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักปฏิบัติทั่วไป รวมทั้งประชาสัมพันธ์เพื่อให้ป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดได้ในสถานบริการ สำหรับสถานบริการที่อยู่ในเขตกทม.ที่อยู่ในความดูแลของ กทม.และ บช.น. จะขอความร่วมมือในการตรวจสอบสถานบริการ หากเป็นสถานบริการที่ไม่มีใบอนุญาตขอให้ดำเนินคดีอาญาโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตสถานบริการที่เป็นอำนาจของท้องถิ่น ว่าจะแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจตรวจสอบและเสนอให้เพิกถอนใบอนุญาตได้หากมีการกระทำผิดกฎหมาย

นายบุญจงกล่าวว่า ได้ให้แนวทางผู้ว่าฯไป 2 ด้าน คือ1.ให้สอดส่องดูแลสถานบริการอย่างใกล้ชิด หากไม่มีใบอนุญาตให้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยแต่ละจังหวัดจะตั้งชุดเฉพาะกิจเพื่อออกสุ่มตรวจสาถนบริการ หากพบว่ามีการกระทำความผิดให้ดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างจริงจัง และ 2.ให้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการ

ขณะที่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงคดีซานติก้าผับว่า พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 200 ปาก และขณะนี้เหลือกกลุ่มบุคคลที่อาจมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่มผู้จัดงาน และกลุ่มนักดนตรี จากเดิมที่มีกลุ่มแขกผู้มาเที่ยวรวมอยู่ด้วยแต่ได้ตัดออกไปแล้ว เนื่องจากมีน้ำหนักน้อย โดยในส่วนของการยิงเปเปอร์ชู้ตนั้น ทางกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบแล้ว คงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ พนักงานสอบสวนจึงได้ตัดประเด็นนี้ออกไป ดังนั้นคงเหลือประเด็นการยิงเอฟเฟคเท่านั้น

คาดว่าอีกประมาณ 3 สัปดาห์ คงทราบว่ามีใครเป็นผู้กระทำผิด และต้องได้รับโทษตามกฎหมาย พล.ต.อ.จงรักกล่าว

พ.ต.อ.ขจรศักดิ์ ปานสาคร รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (รอง ผบก.น.5) หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ กล่าวว่า ยังคงมีพยานทยอยมาให้ปากคำอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่ สน.ทองหล่อนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ญาติผู้เสียชีวิตทยอยเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อขอรับทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตคืน ขณะที่บริเวณด้านหน้าทางเข้า สน. ข้างห้องพนักงานสอบสวน ตำรวจนำพระพุทธรูปปางมารวิชัย สีทอง หน้าตักประมาณ 1 ศอก ตั้งไว้บนโต๊ะ มีดอกไม้ จุดธูปและเทียน สักการะ นอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนห้องทำงานของ พ.ต.อ.สุทิน พ่วงทรัพย์ ผกก. สน.ทองหล่อ เพื่อปรับทัศนียภาพศาลที่ตั้งอยู่ข้าง สน.ด้วย โดยเชื่อว่าเป็นการแก้เคล็ด เพราะหลังจาก ผกก.เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเพียงไม่นานก็เกิดเหตุเพลิงไหม้จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

สำหรับบริเวณซานติก้าผับนั้น ในเวลา 13.00 น. สำนักงานเขตวัฒนาจัดพิธีทำบุญ 3 ศาสนา ประกอบด้วยศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต มีนายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกทม.เป็นประธานในพิธี และมีคณะผู้บริหาร กทม.ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตวัฒนา ญาติผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับาดเจ็บจำนวน กว่า 500 คน เข้าร่วมพิธี

นายวรพจน์ อินทุลักษณ์ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา กล่าวว่า ได้แจ้งย้ายสถานที่เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.จากเดิมได้กำหนดให้หน่วยเลือกตั้งที่ 28-31 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา อยู่ที่บริเวณลานจอดรถซานติก้าผับ โดยย้ายไปอยู่ที่เต๊นท์จำหน่ายรถยนต์ระหว่างซอยเอกมัย 7 กับเอกมัย 9 แทน

ทั้งนี้หลังเสร็จสิ้นพิธี นายอุทิศ เหมวัตกิจ อายุ 55 ปี หรือเสี่ยตาชั่ง หอบเอกสารตรงเข้าไปสอบถามนายพงศ์ศักติฐ์ ถึงเรื่องอำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของ กทม. เกี่ยวกับพระราชบัญญัติควมคุมอาคารต่างๆ เจ้าหน้าที่ กทม.ต้องรีบกันตัวออกไป

ทางด้านสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมผู้ตรวจสอบและบริหารความปลอดภัย ร่วมกันแถลงที่อาษาเซ็นเตอร์ ชั้น 5 อาคารสยามดิสคัฟเวอรี่ นายทวีจิตร จันทรสาขา นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า 3 สมาคมเข้าตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ซานติก้าผับพบว่า อาคารแห่งนี้แผนผังทางหนีไฟ ไม่พบระบบตรวจจับความร้อนและควันไฟ ไม่พบแสงสว่างฉุกเฉินในพื้นที่ใช้บริการ ไม่พบระบบดับเพลิงอัตโนมัติ หรือ สปริงเกลอร์ แม้ว่าจะมีประตูหนีไฟ 3 จุดแต่ก็คับแคบและไม่ชัดเจน และมีการเปลี่ยนระดับพื้นทางเดิน ส่วนชั้นใต้ดิน มีทางขึ้นลงด้วยบันไดทางเดียว และทางสัญจรทางเดินมีลักษณะเป็นทางตัน ซึ่งบริเวณที่ทราบว่ามีผู้เสียชีวิตมากที่สุดก็คือ บริเวณพื้นลดระดับต่ำลงไปจากระดับพื้นทางเข้าประมาณ 1.50 เมตร เชื่อมด้วยบันไดกว้างประมาณ 1.20 เมตรห่างจากประตูทางเข้าใหญ่เพียงประมาณ 3 เมตร อีกทั้งไม่พบหลักฐานว่ามีการตรวจสอบอาคาร

ภายในอาคารซานติก้าผับนั้นไม่ได้เป็นอาคารที่อยู่ในระนาบเดียวกัน แต่เป็นพื้นที่ต่างระดับถึง 3 ระดับโดยเป็นการเชื่อมทางเดินด้วยบันได ซึ่งจุดนี้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ขณะนี้ยังติดตามผู้ออกแบบอาคารสถานที่ยังไม่พบ ดังนั้นทางภาครัฐต้องออกมาบอกได้ว่าใครคือผู้ที่รับผิดชอบ เพราะตามปกติการก่อสร้างอาคาต้องไปขออนุญาตตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้างอาคาร และจะต้องมีหน่วยงานมาตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารด้วย ซึ่งการออกแบบและการก่อสร้างอาคารจะต้องขออนุญาตกับทางสำนักงานเขตในทุกพื้นที่ที่มีการก่อสร้างอาคารและบ้านทุกประเภททุกชนิด นายทวีจิตรกล่าว

ด้านนายชลชัย ธรรมวิวัฒนุกูร นายกสมาคมผู้ตรวจสอบและบริหารความปลอดภัย กล่าวว่า สัปดาห์หน้าทั้ง 3 สมาคมจะเสนอให้ทางภาครัฐผลักดันแก้ไขกฎหมายให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและรัดกุมมากขึ้น เพราะการปฏิบัติที่ผ่านมายังไม่เข้มงวดเท่าที่ควร ซึ่งยังมีช่องโหว่ของกฎหมาย โดยอาจจะเสนอให้มีกฎหมายบังคับให้ทำประกันภัย และกำหนดจำนวนคนที่เข้าไปใช้งานภายในอาคาร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook