ข่าวทั้งหมด

ดินถล่มจีนตอนใต้หาย13คน-น้ำท่วมยังวิกฤติ

ดินถล่มจีนตอนใต้หาย13คน-น้ำท่วมยังวิกฤติ

ประชาชน 13 คนสูญหาย หลังเกิดเหตุดินถล่มวานนี้ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน พื้นที่ที่ประสบเหตุน้ำท่วมเนื่องจากฝนที่ตกหนัก

TAXIหื่นข่มขืนสาวซอยมืดชาวบ้านช่วยทัน

TAXIหื่นข่มขืนสาวซอยมืดชาวบ้านช่วยทัน

โชเฟอร์แท็กซี่ หื่น ขับพาผู้โดยสารข่มขืนในซอยเปลี่ยว ยังหลบหนีลอยนวลขณะ ผู้เสียหาย ยังเงียบไม่โผล่แจ้งความ

ค่าบาทเย็นนี้ปิดที่ระดับ 32.30 บาท/ดอลล์

ค่าบาทเย็นนี้ปิดที่ระดับ 32.30 บาท/ดอลล์

นักค้าเงินจาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ระดับ 32.30  บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดของวัน ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 32.285 บาทต่อดอลลาร์ โดยคาดการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้จะอยู่ในกรอบแคบ เนื่องจากยังคงไม่มีปัจจัยใหม่สนับสนุน โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไว้ที่ระดับ 32.25-32.35  บาทต่อดอลลาร์                

เปิดให้บริการแอร์พอร์ตลิงค์เต็มรูปแบบ 23 ส.ค.นี้

เปิดให้บริการแอร์พอร์ตลิงค์เต็มรูปแบบ 23 ส.ค.นี้

นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า หลังจากที่ รฟท.ทดสอบโครงการอย่างต่อเนื่อง และได้แก้ไขปรับปรุงจุดบกพร่องตามที่วิศวกรอิสระนำเสนอจนครบถ้วนแล้ว เชื่อว่ากลางเดือนสิงหาคมนี้ วิศวกรอิสระจะสามารถออกใบรับรองให้โครงการสามารถเปิดเดินรถให้บริการประชาชน ได้โดยการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบจะมีขึ้นวันที่ 23 สิงหาคมนี้

BECL หวังรายได้ปี 53 โต 2%

BECL หวังรายได้ปี 53 โต 2%

นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL กล่าวว่า บริษัทฯ คาดการณ์รายได้ปี 2553 จะเติบโตประมาณ 2% เมื่อเทียบจากปี 2552 ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าช่วงครึ่งปีแรกรายได้ของบริษัทฯ จะเติบโตไม่ถึง 1% เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมือง ในช่วงเดือนเม.ย. - พ.ค.ทำให้มีวันหยุดพิเศษเพิ่ม  ซึ่งปกติช่วงเดือนเม.ย. จะเป็นช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ โดยจะทำให้รายได้ในเดือนดังกล่าวไม่สูง แต่พอมีผลกระทบในเดือนพ.ค. เข้ามาเพิ่ม จึงทำให้ 2 เดือนดังกล่าวบริษัทฯ สูญรายได้ไป 161 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทฯ ก็ได้ทำหนังสือไปยังรัฐบาลเพื่อขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับว่ามีมาตรการช่วยเหลืออย่างไร อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมิ.ย. ปริมาณรถยนต์เริ่มสู่ภาวะปกติ ที่ 9.75 แสนคัน/วัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ในเดือนก.ค. นี้ ปริมาณรถก็ยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ในครึ่งปีหลังคาดการณ์ว่าปริมาณรถจะเพิ่มขึ้นและผลักดันให้รายได้เป็นไปตามที่คาดหวังได้     'ก่อนหน้านี้ช่วงไตรมาส 1 บริษัทฯ ได้มีการตั้งเป้ารายได้เติบโต 3-3.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเมื่อเกิดความวุ่นวายทางการเมืองจนทำให้มีวันหยุดเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทฯ สูญรายได้ไป 161 ล้านบาท จึงทำให้รายได้ 6 เดือน เติบโตไม่ถึง 1% อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ก็หวังว่าปริมาณรถที่ปัจจุบันเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติจะทำให้รายได้ของบริษัทฯ ปีนี้เติบโตประมาณ 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน'นางพเยาว์ กล่าว

จับตา! สัปดาห์หน้า ธพ.กลางและเล็กทยอยขึ้นดบ.กู้-ฝาก

จับตา! สัปดาห์หน้า ธพ.กลางและเล็กทยอยขึ้นดบ.กู้-ฝาก

นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ในระบบที่ยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ เพื่อตอบสนองทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นตามดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้น 0.25% เพิ่มเป็น 1.5%  น่าจะมีการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตามธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากไปก่อนหน้านี้ “เป็นธรรมดาที่แบงก์จะปรับดอกเบี้ยขึ้นสนองดอกเบี้ยนโยบาย อีกอย่างแบงก์ขนาดใหญ่ก็ปรับไปแล้วเป็นส่วน เพราะฉะนั้นคาดว่าไปเกินสัปดาห์หน้าน่าจะเห็น ธนาคารขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่เหลือทั้งหมดปรับขึ้นตาม” นายสรสิทธิ์กล่าว อนึ่ง ธนาคารพาณิชย์ไทยที่แจ้งการประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ต่อธปท.ไปแล้ว 4 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงศรี โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำเฉลี่ยที่ 0.10-0.55% และปรับดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นเฉลี่ยที่ 0.05-0.15%  นอกจากนี้ยังมีธนาคารพาณิชย์อีก 4 แห่งที่ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากขาเดียว คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารไทยเครดิต และธนาคารซีไอเอ็มบี                

SAT มั่นใจปีนี้รายได้เติบโต 45%

SAT มั่นใจปีนี้รายได้เติบโต 45%

นายวีระยุทธ กิตะพาณิชย์ กรรมการ บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ มั่นใจว่ารายได้มีโอกาสขยายตัว  45% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 4,357.62 ล้านบาท นอกจากนี้ยังตั้งเป้า Gross Profit Margin ไว้ที่ 22-23% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 18% เนื่องจากมีออเดอร์ใหม่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่อุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัว ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังเตรียมขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มรถเล็กประหยัดพลังงานหรืออีโคคาร์ เช่น มิตซูบิชิ เป็นต้น ' ปีนี้ก็ยังคงคาดว่ารายได้จะขยายตัว 45% ตามเป้าหมายที่คาดไว้ เพราะว่าตอนนี้ออเดอร์ใหม่ๆ ก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกำลังการผลิตเกือบจะเต็มแล้ว จึงทำให้บริษัทฯ ต้องเพิ่มทุน ขายหุ้นแบบ PP เพื่อนำเงิน ไปใช้รองรับการขยายกำลังการผลิตในปีหน้า ซึ่งเร็วๆ นี้บริษัทฯ และ FA คือกิมเอ็งก็เตรียมไปโรดโชว์ให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบัน คาดว่าน่าจะได้รับการตอบรับดีและปีนี้กระบวนการต่างๆ คงจบเรียบร้อย ' นายวีระยุทธ กล่าว

BAY มั่นใจสินเชื่อรวมปีนี้โตเข้าเป้า 8%

BAY มั่นใจสินเชื่อรวมปีนี้โตเข้าเป้า 8%

นายมาร์ค อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) กล่าวว่า ธนาคารเชื่อมั่นว่าการขยายตัวของสินเชื่อรวมในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 8% หรือคิดเป็นมูลค่า 4.8 หมื่นล้านบาท แม้ว่าการขยายตัวในช่วงครึ่งปีแรกจะทำได้เพียง 3.2% หรือคิดเป็น 1.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบในช่วงเดือนเม.ย.และพ.ค.ที่ผ่านมา แต่ขณะนี้สถานการณ์โดยรวมดีขึ้นจึงน่าจะส่งผลให้สินเชื่อสามารถขยายตัวได้ ทั้งนี้ธนาคารได้เน้นการขยายตัวในทุกกลุ่ม แต่หลักๆ จะเป็นในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยที่มีสัดส่วนถึง 42% แบ่งเป็นสินเชื่อรถยนต์ 19% สินเชื่อที่อยู่อาศัย 13% และสินเชื่อเครดิตการ์ด 11-12% อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการซื้อพอร์ตสินเชื่อรายย่อยเพิ่มเติมคงยังไม่เกิดขึ้นภายในปีนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารซื้อพอร์ตดังกล่าวจำนวนมากจึงต้องใช้ระยะเวลาในการเดินหน้าควบรวมพอร์ตเก่าให้เรียบร้อยก่อน แต่ในส่วนของปีหน้าธนาคารจะเริ่มกลับมาดูการซื้อพอร์ตสินเชื่อดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง สำหรับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง แม้หลายฝ่ายมองว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นแต่ในมุมมองของธนาคารจะต้องมีความระมัดระวัง เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจยังคงมีโอกาสชะลอตัวได้ เนื่องจากมีปัญหาในส่วนของประเทศจีน ยุโรป สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มในครึ่งปีหลังไม่ดีนัก อย่างไรก็ตามประเมินว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 5% หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย โดยปัจจุบันภาคการลงทุนในประเทศเริ่มดีขึ้น ซึ่งผลกระทบในต่างประเทศอาจจะไม่กระทบมากนัก จึงอาจปรับประมาณการจีดีพีได้ใหม่แต่ยังไม่ใช่ขณะนี้                

BAY เล็งขายหนี้เน่า 5.2 พันล้าน

BAY เล็งขายหนี้เน่า 5.2 พันล้าน

นายมาร์ค อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) กล่าวว่า ในเดือน ก.ค.นี้ ธนาคารมีแผนที่จะขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 5,254 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ NPL ภายหลังการขายลดลงมาอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.5% จากระดับ NPL ในครึ่งปีแรกที่อยู่ 7.1% หรือคิดเป็น 49,702 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นการลดลงต่อเนื่องจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาที่อยู่ 52,080 ล้านบาท

คลัง รับ 9 เดือนกู้เงินในปท.รวม 4.43 แสนลบ.

คลัง รับ 9 เดือนกู้เงินในปท.รวม 4.43 แสนลบ.

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า ผลการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐประจำเดือนมิถุนายน 2553 กระทรวงการคลังได้ลงนามสัญญาเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552   เพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 วงเงิน 80,000 ล้านบาท และได้มีการเบิกเงินกู้ภายใต้วงเงินดังกล่าว จำนวน 33,000 ล้านบาท รวมถึงจากวงเงินเดิมที่ได้ลงนามไว้อีก 2,000 ล้านบาท นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินในประเทศเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยการออกพันธบัตรรัฐบาล 17,000 ล้านบาท ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพได้กู้เงินในประเทศ เพื่อดำเนินกิจการทั่วไป 1,120 ล้านบาท อนึ่ง รัฐบาลได้ลงนามในสัญญากู้เงินจากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชีย วงเงินรวม 156.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 5,097.62 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัญญากู้เงินกับธนาคารโลก จำนวน 79.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 2,584.67 ล้านบาท และสัญญากู้เงินกับธนาคารพัฒนาเอเชีย 77.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 2,512.96 ล้านบาท  (คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนขายถัวเฉลี่ยของเงินบาทกับเงินเหรียญสหรัฐ ณ วันลงนามในสัญญา คือ 32.5935 บาทต่อ 1เหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 53 ส่วนช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2553 ภาครัฐได้กู้เงินในประเทศรวม 443,526 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เงินของกระทรวงการคลัง 397,572 ล้านบาทและของรัฐวิสาหกิจ 45,954 ล้านบาท                

STAR มั่นใจธุรกิจครึ่งปีหลังสดใส

STAR มั่นใจธุรกิจครึ่งปีหลังสดใส

ดร.สมชัย ว่องอรุณ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STAR เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจสุขภัณฑ์ในครึ่งปีหลังนี้ว่ามีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่นมากกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลขาย (High Season) ของธุรกิจประเภทนี้ โดยเฉพาะในไตรมาส 4/2553 ถือเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี ซึ่งจะมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาต่อเนื่อง และจะผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทฯออกมาในทิศทางที่ดี ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/2553 บริษัทฯ เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 7 – 8 รุ่น ส่งผลให้ทั้งปีนี้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่รวม 15 รุ่น โดย เน้นเจาะตลาดระดับกลางบนที่มีแนวโน้มเติบโตสูง และสามารถกำหนดราคาขายได้สูงขึ้น  ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปีนี้ขยายตัวมากกว่าเดิม ขณะที่ผลประกอบการทั้งปี 2553 บริษัทฯ ยังมั่นใจว่ารายได้จะขยายตัว 10 – 15% จากปีก่อนที่ทำได้ 204.11 ล้านบาทตามเป้าหมาย “ในช่วงครึ่งปีแรกถือเป็นช่วงพัฒนาสินค้าและเป็นโลว์ซีซั่น ซึ่งตามปกติแล้วในช่วงครึ่งปีหลังของทุกปีจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจสุขภัณฑ์  สินค้าจะพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้า และมีคำสั่งซื้อใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มอีก โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ ยังทยอยออกผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ  ซึ่งปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทฯ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่มากที่สุดรวม 15 รุ่นหากเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา” ดร.สมชัย กล่าว เขากล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศต่อเนื่อง  เพื่อสร้างฐานลูกค้าในต่างประเทศให้แข็งแกร่ง และผลักดันผลประกอบการในอนาคตให้เติบได้อย่างยั่งยืน  ล่าสุดได้ข้อสรุปส่งสินค้าให้กับลูกค้าใหม่ที่ตะวันออกกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่ามีคำสั่งซื้อเข้ามาประมาณปลายปีนี้ราวไตรมาส 4/2553 โดยบริษัทฯ เชื่อว่าตลาดที่ตะวันออกกลางกำลังเติบโต และมีความต้องการสินค้าสุขภัณฑ์อย่างมาก นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหม่ในแถบยุโรปอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตเฉลี่ยประมาณ 75 - 80% ของกำลังผลิตรวม และหากในอนาคตคำสั่งซื้อขยายตัวมากขึ้นถึง 90% ของกำลังผลิตรวม บริษัทฯ จะเพิ่มกำลังการผลิตใหม่รองรับคำสั่งซื้อดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ มีลูกค้าต่างประเทศสัดส่วน 65% และลูกค้าในประเทศสัดส่วน 35% โดยในอีก  2 -3 ปีข้างหน้า คาดว่าสัดส่วนการส่งออกไปต่างประเทศจะอยู่ที่ 50% และในประเทศจะอยู่ที่ 50%     

TCAP  ตอกย้ำความเป็น Lifestyle Consumer Banking

TCAP ตอกย้ำความเป็น Lifestyle Consumer Banking

ธนาคารธนชาต  จัดกิจกรรมตอกย้ำความเป็น Lifestyle Consumer Banking นำโชว์ไฮเทคยิ่งใหญ่ระดับโลก “Walking With Dinosaurs” มามอบความสุขกลับคืนให้ครอบครัวคนไทย    ระหว่างวันที่   17 – 21 พฤศจิกายน 2553  ณ  อิมแพ็ค อารีน่า  เมืองทองธานี  พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด มอบส่วนลดค่าบัตรเข้าชม 20% ให้แก่ลูกค้าของธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทย นายวิชา กุลกอบเกียรติ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารและบริหารแบรนด์  ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ธนาคารฯ  มีนโยบายในการจัดกิจกรรมทางการตลาดและกิจกรรมพิเศษต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็น Lifestyle Consumer Banking  และเป็นการสร้าง Brand Experience กับลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายให้รู้สึกว่า “ธนชาต” เป็น แบรนด์ที่มีแนวคิดใหม่ๆ มีความทันสมัย และมีพลังพร้อมที่จะเติมเต็มความสุขและความต้องการทางการเงินให้กับลูกค้าโดยกิจกรรมการตลาดที่ผ่านมา ธนาคารฯ ได้จัดคอนเสิร์ตยิ่งใหญ่ระดับประเทศให้กับกลุ่มเป้าหมายวัยหนุ่มสาวมาอย่างต่อเนื่อง 2-3 ปี  และในปีนี้ ธนาคารฯ ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายไปที่ตลาดของกลุ่มครอบครัว  โดยได้ร่วมกับ บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์  นำโชว์ไฮเทคยิ่งใหญ่ระดับโลก เข้ามาจากประเทศอังกฤษเพื่อมอบความสุขให้กับคนไทย ด้วยการแสดงชุด “Walking With Dinosaurs”   ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่าง  วันที่ 17 – 21 พฤศจิกายน 2553  ณ   อิมแพ็ค อารีน่า  เมืองทองธานี   การแสดงชุดนี้เป็นโชว์ชุดพิเศษสำหรับตลาดกลุ่มครอบครัว ที่สร้างจากรายการโทรทัศน์ชื่อดังของ BBC London โดยนักวิทยาศาสตร์และนักออกแบบชื่อดังระดับโลก ได้ทำให้ไดโนเสาร์หลากหลายเผ่าพันธุ์ขนาดมหึมา ที่สูญพันธุ์ไปกว่า 65 ล้านปี กลับมาฟื้นคืนชีพ  ขึ้นมาโลดแล่นเหมือนกับมีชีวิตบนเวทีโชว์ สร้างความตื่นตา ตื่นใจกับให้กับผู้ชมมาแล้วทั่วโลก เช่น ในยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา  เป็นต้น นอกจากนี้ ธนาคารธนชาต ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ทั้งด้านเงินฝาก และสินเชื่อ  เพื่อเป็นการต้อนรับการแสดง “Walking With Dinosaurs” ครั้งนี้ด้วย   เช่น การออกแบบบัตรเครดิต และสมุดเงินฝากดีไซน์พิเศษ หรือเมื่อสมัครใช้บริการทางการเงิน จะได้รับของที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับการแสดง   นอกจากนี้ยังได้มอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าของธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทย ด้วยการมอบส่วนลดค่าบัตรเข้าชม 20% สำหรับผู้ที่จองบัตรที่สาขาของธนาคารธนชาต ระหว่างวันที่ 6 – 8 สิงหาคม  หรือที่  ThaiTicketMajor ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 13 สิงหาคม นี้

บลจ.ธนชาต ส่ง 2 กองทุน FIF ลงตลาด

บลจ.ธนชาต ส่ง 2 กองทุน FIF ลงตลาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ธนชาต เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศเพิ่มอีก 2 กองทุน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุน  ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ 71  (T-FixFIF71)   อายุโครงการประมาณ 18 เดือน มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท และ กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ 109  (T-FixFIF109)   อายุโครงการประมาณ 7 เดือน มูลค่าโครงการ  700 ล้านบาท กองทุน T-FixFIF71 และ T-FixFIF109 เป็นกองทุนที่มีเป้าหมายที่จะลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ เช่น พันธบัตรธนาคารแห่งชาติเกาหลีใต้ พันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ กองทุนจะป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวนสำหรับมูลค่าตราสารหนี้ประเทศเกาหลีใต้ที่กองทุนลงทุน กองทุนดังกล่าวเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายเงินลงทุนบางส่วนไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศ และเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุนในตราสารหนี้ในต่างประเทศ และประเทศที่กองทุนไปลงทุน

BJC เดินหน้าเจรจาลงทุนที่เวียดนาม

BJC เดินหน้าเจรจาลงทุนที่เวียดนาม

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างพิจารณาเข้าซื้อธุรกิจในเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเป็นลักษณะเทรดดิ้ง ซึ่งคาดว่าในช่วง 2 เดือนข้างหน้าน่าจะมีความชัดเจน นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมองการเข้าซื้อกิจการในแถบภูมิภาค ซึ่งการเข้าซื้อกิจการถือเป็นยุทธศาสตร์หลักในการเติบโตของบริษัทฯ โดยการเข้าลงทุนบริษัทฯ มีนโยบายสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 10% นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC กล่าวว่า สำหรับงบลงทุนในปี 2553 บริษัทฯ วางไว้ที่ 700-1,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในการปรับปรุงเครื่องจักร  ทั้งนี้เม็ดเงินดังกล่าวไม่รวมการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ ทั้งนี้บริษัทฯเตรียมเงินลงทุนสำหรับภูมิภาคไว้ที่ 300-400 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในประเทศเวียดนาม ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการเข้าซื้อกิจการ ในลักษณะเป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายสินค้า (Trading) นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในส่วนของโรงงานทิชชู่ บรรจุภัณฑ์และขนมขบเคี้ยว ทั้งนี้การลงทุนในเวียดนามเพื่อขยายฐานการผลิต เพื่อซัพพลายสินค้าให้กับประเทศลาว และกัมพูชา ทั้งนี้ปัจจุบันสัดส่วนการขายสินค้าไปยังต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 5-6% ซึ่งสัดส่วนต่างประเทศค่อนข้างน้อย เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องการขนส่ง แต่ทั้งนี้ในอนาคตบริษัทฯตั้งเป้าใน 5 ปีข้างหน้ามีสัดส่วนในต่างประเทศเป็น 50% จากการเข้าขยายการลงทุน โดยเตรียมที่จะเข้าไปตั้งโรงงานผลิตทิชชู่ในเวียดนาม เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง                

BJC เล็งชงบอร์ดจ่ายปันผล

BJC เล็งชงบอร์ดจ่ายปันผล

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC กล่าวว่า บริษัทฯเตรียมที่จะประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือนสิงหาคม 2553 เพื่อพิจารณาจ่ายเงินปันผลงวดระหว่างกาล (ม.ค.-มิ.ย.) ทั้งนี้การประชุมดังกล่าวจะมีขึ้นหลังบริษัทฯ ชี้แจงผลประกอบการในไตรมาส 2 ต่อตลาดหลักทรัพย์ภายในวันที่ 15 สิงหาคม แต่ทั้งนี้อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ในอัตราใดยังไม่สามารถระบุได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ทั้งนี้ในช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท ส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ                

บสก.  เปิดสำนักงานใหม่ สาขาซีคอน

บสก. เปิดสำนักงานใหม่ สาขาซีคอน

บสก. รุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เต็มรูปแบบ พร้อมเปิดสำนักงาน บสก. สาขาซีคอนสแควร์  สไตล์ Real Estate Cafe แห่งแรกในเมืองไทย เพื่อให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร ทั้งการซื้อทรัพย์ และปรับโครงสร้างหนี้  หวังขยายฐานลูกค้าและเข้าถึงผู้สนใจในวงกว้าง มั่นใจการเดินหน้า ขยายสำนักงานเป็นส่วนสำคัญทำให้ผลการดำเนินงานของ บสก. เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้    ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดสำนักงานบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) ณ ชั้น 3 ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ถนนศรีนครินทร์ โดยมีนางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ ประธานกรรมการ บสก. พร้อมคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ    นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ ประธานกรรมการ บสก. กล่าวว่า ที่ผ่านมา บสก. ได้ดำเนิน งานภายใต้แนวคิด “โอบอุ้มอสังหาฯ เพื่อเศรษฐกิจไทย” มาโดยตลอด เพื่อมุ่งหวังที่จะ เป็นเครื่องมือสำคัญของภาครัฐในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือ ลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน พร้อมกับช่วยฟื้นฟูธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยการพัฒนา ทรัพย์สินรอการขายที่มีศักยภาพให้เป็นสินค้า ที่ได้มาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น โดย บสก. มีความพร้อมรับบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินทุกแห่ง ทั้ง NPL/NPA และมุ่งมั่น ที่จะก้าวสู่การเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ    ล่าสุด บสก. ได้เปิดตัวสาขาซีคอนสแควร์ ชั้น 3 โซนโรบินสัน พร้อมกับจัดโปรโมชั่นพิเศษ ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 31 สิงหาคม 2553 สำหรับลูกค้าซื้อทรัพย์ของ บสก. ในราคาสุดพิเศษ ลด 10-30 % ในทำเลทองบริเวณโซนกรุงเทพ ตะวันออกและสมุทรปราการ พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ โดยลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ บสก. สาขาซีคอน สแควร์ ชั้น 3 โซนโรบินสัน พร้อมการบริการอย่างครบถ้วน (Full Package Services) จากเจ้าหน้าที่ ผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ ที่ครอบคลุมทั้งการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และการจัดการทรัพย์สิน รอการขายแบบครบวงจร ปัจจุบัน บสก. มีสำนักงานกระจายอยู่ตามจังหวัดสำคัญๆ ครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 24 แห่ง สำนักงานสำหรับกรุงเทพฯและปริมณฑล มีเพียงสำนักงานใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพียง แห่งเดียว บสก. จึงมีแนวคิดในการเปิดจุดให้บริการลูกค้าภายในศูนย์การค้ารอบๆ กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล 4 มุมเมือง โดยได้เปิดสาขาเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ เป็นสำนักงานแรก และสาชาซีคอนสแควร์เป็นสาขาที่ 2 เพื่อให้บริการครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น สำหรับการเพิ่มจุดบริการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในย่านศรีนครินทร์ ตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียงนั้น จะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและยังเป็นการเพิ่มช่อง ทางในการประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนได้มีโอกาสได้ทำความรู้จัก และทราบถึงรายละเอียด ในการทำธุรการต่างๆ พร้อมกับเลือกชมและเลือกซื้อทรัพย์สินรอการขาย โดยคาดว่า การรุกขยายสาขาการให้บริการในแหล่งชุมชน อย่างห้างสรรพสินค้าในย่านศรีนครินทร์ในครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นางสว่างจิตต์  ยังได้กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทย ปี 2553 ว่า ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะ ดีกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 53 ภาพรวม เศรษฐกิจยังสามารถกลับมาขยายตัว ขณะที่ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์มองว่า จะมีการเติบโตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ความ วุ่นวายในบ้านเมืองได้ยุติลงไปแล้ว ภาคเศรษฐกิจ การลงทุนก็เข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่ผู้ประกอบการ มีการออกแคมเปญต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายจึงน่าจะช่วยทำให้ตลาด อสังหาริมทรัพย์มีความคึกคัก ได้มากกว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจ และทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ คงต้อง ประเมินถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ด้านการเมืองใน ประเทศเป็นสำคัญ เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค

แบงก์ชาติแคนาดาประกาศขึ้น ดบ.อีก 0.25%

แบงก์ชาติแคนาดาประกาศขึ้น ดบ.อีก 0.25%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ธนาคารกลางแคนาดาประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% มาอยู่ที่ 0.75% วานนี้ โดยเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 นับแต่วันที่ 1 มิถุนายนปีนี้ โดยธนาคารกลางแคนาดาระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายภาครัฐและภาคครัวเรือน ขณะเดียวกันธนาคารกลางแคนาดาเปิดเผยว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ของแคนาดากำลังชะลอลงอย่างรวดเร็ว แต่ผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว ทั้งนี้ ธนาคารกลางแคนาดาคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพีแคนาดาปีนี้จะขยายตัวในอัตรา 3.5% ส่วนปีหน้าจะขยายตัวในอัตรา 2.9%

ส่งออกเดือนมิ.ย. 53 โตสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ส่งออกเดือนมิ.ย. 53 โตสูงสุดเป็นประวัติการณ์

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  กล่าวว่า การส่งออกของไทยเดือนมิ.ย. 2553 มีมูลค่า 1.80 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการขยายตัว 46.3% ซึ่งเป็นการเร่งตัวขึ้นจากเดือนพ.ค. 2553 ที่ขยายตัว 42.1% ทั้งนี้การส่งออกของไทยในเดือนมิ.ย.นับเป็นตัวเลขการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่มีการเก็บสถิติการส่งออก ซึ่งสินค้าทุกหมวดขยายตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน โดยสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้น 33.3% โดยสินค้าที่มีปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง น้ำตาล สินค้าอาหารประเภททะเลแช่แข็ง สินค้าอาหารกระป๋อง กุ้งแช่แข็งและแปรรูป รวมไปถึงไก่แช่แข็งและแปรรูป อย่างไรก็ตามยังมีสินค้าในหมวดดังกล่าวที่มีปริมาณและมูลค่าลดลง ได้แก่ สินค้าข้าว เนื่องจากได้รับปัญหาการแข่งขันด้านราคากับเวียดนาม ปากีสถาน  และอินเดีย รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง  สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญเพิ่มขึ้น 52.6% โดยสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ รวมถึงอัญมณีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้น 35.3%     อย่างไรก็ตามตลาดการส่งออกสำคัญได้ปรับตัวสูงขึ้นทั้งตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยตลาดหลักมีการส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 โดยในเดือนมิ.ย. การส่งออกในตลาดหลักขยายตัว 44.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดอาเซียนที่ขยายตัว 51.2% ขณะที่ตลาดญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ ก็นับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องในอัตราที่สูงเช่นกัน โดยตลาดใหม่การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 10 โดยในเดือนมิ.ย. ขยายตัว 47.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 'การส่งออกในเดือนมิ.ย. ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์  มาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว รวมถึงได้รับสิทธิประโยชน์จากเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AFTA ทำให้การค้าชายแดนในเดือนมิ.ย. ปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับสิทธิประโยชน์กับประเทศที่มีพันธกรณี อีกทั้งการไปโรดโชว์ยังประเทศต่างๆ ได้รับการตอบรับที่ดี โดยล่าสุดเดินทางไปที่รัสเซียพบว่ามีความสนใจสินค้าทุกประเภทของไทย ซึ่งการเดินทางไปครั้งนี้ มียอดขาย สูงถึง 10,000 ล้านบาท'นางพรทิวากล่าว การนำเข้าเดือนมิ.ย. 2553 มีมูลค่า 15,1716 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 37.9% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนพ.ค. 2553 ที่ขยายตัว 55.1%  แต่ขยายตัวเพิ่มขึ้นหากเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยสาเหตุให้การนำเข้าในเดือนมิ.ย. ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน มาจากสินค้าเชื้อเพลิงที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 21.4% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัว ทั้งภาคการผลิต การส่งออก และภาคการขนส่ง สินค้าทุนนำเข้าเพิ่มขึ้น 45.5% ปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และนักลงทุนต่างชาติยังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นแหล่งลงทุนของประเทศไทย ซึ่งสะท้อนจากข้อมูลการขอรับ การส่งเสริมลงทุนผ่านบีโอไอ ในครึ่งปีแรก 2553 ที่มีจำนวนโครงการเพิ่มขึ้น ถึง 4.63% และมูลค่าเพิ่มขึ้น7.4% ประกอบกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นต้น  สินค้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น 34.7% สอดคล้องกับภาคการส่งออกและภาคการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง สินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้น 41.5% เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นสถานการณ์การเมืองที่คลี่คลายลง ทำให้เพิ่มการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายภายหลังสถานการณ์การเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ  ยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง เพิ่มขึ้น 122.5% สาเหตุจากยอดจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศรวมถึง ยอดการส่งออกที่ขยายตัวขึ้นมาก เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมที่ดีขึ้น รวมถึงสินค้าเกษตรที่มีราคาปรับขึ้น เช่น ยางพารา และมันสำปะหลัง ทำให้เกษตรกร มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้การส่งออกครึ่งปีแรก 2553 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่ารวม 93,066 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  คิดเป็นการขยายตัว 36.6% ขณะที่การนำเข้า 6 เดือน มีมูลค่า 86,689 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 51.7%            นอกจากนี้ ดุลการค้าในเดือนมิ.ย. 2553 ไทยเกินดุล 2,322 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ครึ่งปีแรก 2553 (ม.ค.-มิ.ย.) ไทยเกินดุลรวม 6,378 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสาเหตุมาจากการส่งออกที่เร่งตัวกว่าการนำเข้า                 นางพรทิวา   กล่าวว่า การส่งออกของไทยช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวต่อเนื่องทำให้กระทรวงพาณิชย์ ตัดสินใจปรับประมาณการการส่งออกในปี 2553 เพิ่มเป็น ขยายตัว 19% มีมูลค่า 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการทำสถิติมา จากเดิมที่คาดจะขยายตัวเพียง 14% หลังตัวเลขการส่งออก 6 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่ารวมถึง 9.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 36.6% ขณะที่แนวโน้มครึ่งปีหลัง การส่งออกจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออกถึง 9.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถรักษาฐานตลาดเก่า และใหม่ไว้ได้ ประกอบกับทางกระทรวงพาณิชย์ได้มีการกระตุ้นการส่งออกและมีการเจาะกลุ่มตลาดสินค้าในเชิงลึกมากขึ้น โดยได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ไปศึกษาข้อมูลเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าตลาดใหม่ และทำให้การส่งออกสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น 'ในไตรมาส 3 จะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีมูลค่า 9.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งเป็นไตรมาส 3 ประมาณ 50,000 ล้านดอลล์ และไตรมาส 4 ประมาณ 40,000 ล้านดอลล์ โดยปัจจัยลบที่เคยกังวลอย่างวิกฤตการเงินกรีซ ปัญหาค่าเงินหยวนแข็งค่า ก็ไม่ได้มีกระทบต่อการส่งออกของไทยมากนัก'นางพรทิวา กล่าว                

BJC ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 10%

BJC ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 10%

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์จำกัด (มหาชน) หรือ BJC  กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อนทำรายได้ 2.3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายอศวิน  เตชะเจริญวิกุล  คาดว่ารายได้ของ BJC ในปีนี้จะเติบโตในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจในประเทศ แต่ก็มีเป้าหมายที่จะเติบโตได้สูงกว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยบริษัทจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในระดับ 23-24% และอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ 5.5% ใกล้เคียงกับปีก่อน พร้อมทั้งเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง คาดว่าภายในปีนี้จะสามารถสรุปการเจรจาร่วมลงทุนธุรกิจในเวียดนามเพิ่ม 2 รายได้ ซึ่งจะเป็นงบลงทุนนอกเหนือจากงบปกติที่ตั้งไว้ 1 พันล้านบาทในปีนี้                

แบงก์ชาติ มั่นใจ ดบ.ไทย ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ

แบงก์ชาติ มั่นใจ ดบ.ไทย ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ

นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ด้านเสถียรภาพการเงิน  กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง'แนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง' เมื่อคืนวานนี้ว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทย ยังมีโอกาสที่จะขยับขึ้นอีกแบบค่อยเป็นค่อยไป  ซึ่งแม้อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ส่วนจะขึ้นไปถึงระดับ 2%ในช่วงสิ้นปีนี้หรือไม่ ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจล่าสุด 'ดอกเบี้ยเรายังอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ และยังสามารถไปได้ต่อ แต่ต้องดูจังหวะเวลาว่าเศรษฐกิจจะสามารถปรับตัวได้ไหม และข้อมูลที่เข้ามาเป็นอย่างไร' นายบัณฑิตกล่าว นายบัณฑิต กล่าวว่า  แม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้วจาก 1.25% เป็น 1.50% แต่ยังถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค และเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่ 3% แล้ว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบ  ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จนถึงสิ้นปีนี้จะปรับขึ้นไปถึงระดับ 2% หรือไม่ คงต้องรอดูตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะมีเข้ามา เพราะสิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักคือความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกที่ขณะนี้ยังมีหลายจุดและอาจกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ นายบัณฑิต กล่าวอีกว่า หลังกนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วเมื่อวันที่ 14 ก.ค.จนถึงขณะนี้ มีสถาบันการเงินทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว 15 แห่งซึ่งเป็นการปรับขึ้นทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า สถาบันการเงินมีความมั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงพร้อมจะแข่งขันการระดมเงินฝากเพื่อเป็นฐานในการเตรียมสภาพคล่อง รองรับการขยายตัวของสินเชื่อในระยะต่อไป ขณะที่ผลกระทบต่อค่าเงินบาท หลัง กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยนั้น เขา กล่าวว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทค่อนข้างผันผวน เนื่องจากตลาดมีการคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามา เงินบาทจึงแข็งค่าล่วงหน้า แต่หลังกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และข่าวตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคอ่อนค่าลงรวมถึงค่าเงินบาทด้วยการปรับตัวของค่าเงินจึงเป็นไปในสองทิศทางตามภาวะตลาด 'ค่าเงินบาท น่าจะเป็นไปตามธรรมชาติ หรือตามความต้องการที่แท้จริงแต่ดูแลให้ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับไม่ก่อให้เกิดปัญหากับภาคธุรกิจ' นายบัณฑิตกล่าว สำหรับ แนวโน้มเศรษฐกิจในไตรมาส 2/53 นั้น นายบัณฑิต กล่าวว่ายังจะขยายตัวได้ต่อเนื่องจากไตรมาส 1/53  โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง แม้ยังมีความไม่แน่นอนขณะที่นโยบายภาครัฐที่เน้นการใช้จ่ายตามโครงการไทยเข้มแข็ง และ อัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำน่าจะช่วยให้การใช้จ่ายในประเทศยังไปได้ ' ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญกับเศรษฐกิจไทยยังเป็นเรื่องความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา , ยุโรป และ การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่ลดลงตามมาตรการของทางการ ซึ่งต้องติดตามว่าในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจโลกที่อาจจะขยายตัวในอัตราชะลอลงนั้น จะมากกว่าที่ ธปท. คาดการณ์ไว้มากน้อยเพียงใดซึ่งอาจจะกระทบการส่งออกและเศรษฐกิจไทย'นายบัณฑิตกล่าว