| 
 | 
        
          
          
            
              |   | 
              รายงาน : แผนปลดล็อคคปค.ฉบับ7 | 
             
            
                | 
             
            
              | โดย คม ชัด ลึก วัน พุธ ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2549 02:06 น. | 
             
           
          
          
            
               | 
               ไม่น่าแปลกใจเท่าไรกับ มติ ครม. ที่ให้แก้ไขประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 7   
           ว่าด้วย การห้ามชุมนุมทางการเมือง เพื่อมิให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินในระหว่างประกาศกฎอัยการศึก  
           จึงห้ามมิให้มั่วสุม ประชุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
           เหตุเพราะ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่อาจต้านกระแสสังคมทั้งในและนอกประเทศที่บีบรัดได้ 
           โดยเฉพาะต่อเสียงเรียกร้องให้ยกเลิก กฎอัยการศึก  
           อย่างไรมันก็ต้องเลิกวันยังค่ำ !!! 
           เพียงแต่ในภาวะที่สถานการณ์ภายในประเทศยังไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากการข่าวยังรายงานถึงความเคลื่อนไหวของบรรดา คลื่นใต้น้ำ อยู่เป็นระยะๆ 
           ทั้งจากกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับ รัฐประหาร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมู่มวลสมาชิกที่ยังจงรักภักดีต่อ ระบอบทักษิณ 
           บวกกับความพยายามของ ทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามเคลื่อนไหวผ่าน นอมินี อย่าง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และ พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ไม่ให้ตัวเองและพรรคไทยรักไทยตกไปจากกระแสความสนใจของสังคม 
           โดยเฉพาะประเด็นการเจรจา ขอกลับประเทศ ที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงกันในสังคมของกลุ่มผู้สนับสนุนและคัดค้าน 
           สถานการณ์สมานฉันท์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ทำท่าจะไปได้สวย เลยต้องสะดุดกึก 
           จึงจำเป็นต้องผ่อนให้สถานการณ์ คลายตัว ลงระดับหนึ่ง !!! 
           ลดแรงเสียดทานทั้งจากภายนอกและภายใน 
           นักเลือกตั้งจะได้หายใจหายคอกันคล่องขึ้นมาหน่อย 
           ต่างประเทศก็วางใจขึ้นมาระดับหนึ่ง  
           ที่สำคัญจะว่าไปแล้ว ประกาศฉบับนี้ถ้ายังคงสาระแบบเดิมอยู่ต่อไป มันก็บังคับใช้ได้ลำบากขึ้นทุกวัน 
           ขัดกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมเสวนาวิชาการซึ่งเกิดขึ้นแทบทุกสัปดาห์ ทั้งงานทางวิชาการ และการเสวนาการเมืองรูปแบบต่างๆ  
           เรียกง่ายๆ ว่า ละเมิด กันเห็นๆ !!! 
           และมันก็จะเป็นประเด็นให้เป็นที่ถกเถียงกันไปเปล่าๆ ปลี้ๆ หากว่ารัฐบาลเลือกจะเล่นงานกลุ่มคนที่ไม่เชียร์รัฐบาล ขณะที่คนที่เชียร์กลับปล่อยเสรี 
           ที่สำคัญมันจะขัดกันอย่างยิ่งกับวาระ เปิดประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2549 
           ดังนั้นการผ่อนคลายความอึดอัดลง จึงน่าจะเป็น ทางออก ที่ดีที่สุดในสถานการณ์ที่รัฐบาลมีทางเลือกไม่มากนัก 
           จะมีประเด็นที่น่ากังวลใจอยู่บ้าง ตรงความเคลื่อนไหวของพรรคไทยรักไทย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ จากการเรียกประชุมเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งอาจมีรายการ เลยเถิด 
           แต่ฟังจากปาก พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ชัดเจนว่า แม้จะเปิดพื้นที่หายใจ แต่ก็อยู่ในขอบเขตจำกัด 
           หายใจได้แค่ ในพรรค หรือสถานที่อันจำกัด  
           ไม่ใช่เลยเถิดไประดมพลกันตาม ท้องถนน !!! 
           และที่สำคัญ ก็จำกัด สาระ ของการประชุมทางการเมืองให้แคบเข้าไว้ 
           สโคปของ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ในการแสดงความคิดเห็นต้องอยู่ใน 3 ประเด็น... 
           1.ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะหรือแนวคิดในการจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่   
           2.แนวคิดที่จะมีการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม 
           3.แนวคิดที่จะปรับปรุงการศึกษาเพื่อให้มีการนำเอาคุณธรรมมาอยู่ในระบบการศึกษาตั้งแต่เบื้องต้นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้  
           ทั้งนี้ ก็เพราะ คลื่นใต้น้ำ ยังไม่สงบ !!! 
           กระบวนการเคลื่อนไหวของแกนนำ ระบอบทักษิณ ที่กระจายตัวอยู่ทุกจังหวัด ไม่ต่ำกว่าจังหวัดละ 300 คน ยังได้รับการป้อนข้าวป้อนน้ำอยู่อย่างต่อเนื่อง 
           รูปแบบของการเชียร์ทักษิณออกมาในรูปของหนังสือ การ์ตูนพ็อคเก็ตบุ๊ค แจกจ่ายตามจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอีสาน  
           บวกกับการเดินสายชี้แจงสถานการณ์ของแกนนำชนิดหมู่บ้านต่อหมู่บ้าน และหลังคาต่อหลังคา 
           ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเตรียมพร้อมระดมพลทุกเมื่อ ทั้งตามต่างจังหวัด และรอบรั้วปริมณฑล ทันทีที่ยกเลิกกฎอัยการศึก 
           ฝ่ายข่าวของรัฐบาลและ คมช.ทำได้เพียงจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยใช้ กฎอัยการศึก เป็นเครื่องมือ 
           ขณะเดียวกันก็อาศัยการเดินสายทำความเข้าใจของ พล.อ.สุรยุทธ์ ตามนโยบาย 66/23 เดิม  
           ซึ่งก้าวย่างต่อไปภายหลังเดินทางกลับจากมาเลเซียคือ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และพื้นที่ทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งของ สหายเก่า ไม่ว่าจะเป็นอย่าง เพชรบูรณ์ น่าน ฯลฯ 
           ระหว่างนี้ก็รอให้กระบวนการสาวไส้ทุจริตระบอบทักษิณของ คตส. มีความชัดเจน และตีแผ่ออกมาโดยเร็ว เพื่อจะอาศัยเป็นตัวเปลี่ยนมุมมองของประชาชนที่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับพฤติกรรมการทุจริตของระบอบทักษิณ 
           ถึงตอนนั้นค่อยมาพูดกันถึงเรื่อง ยกเลิกกฎอัยการศึก 
           เพราะรัฐบาลและ คมช.เชื่อว่า ตราบใดที่ความชัดเจนในการ ตรวจสอบ ยังไม่ชี้ชัด คลื่นใต้น้ำก็จะยังไม่สงบอยู่อย่างนั้น 
           กฎอัยการศึกก็จะยังต้องคงอยู่ต่อไป  
           เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องปรามพวก คลื่นใต้น้ำ ที่รอวันสร้างความปั่นป่วนอยู่ทุกลมหายใจ  
           โต๊ะข่าวการเมือง
 | 
               | 
             
            
              |   | 
             
            
	
              อ่านข่าวทั้งหมดของ คม ชัด ลึก  ได้ที่นี่ 
  | 
             
            
              |   | 
             
           
          
            
                | 
             
           
           |